Sunday, July 15, 2007

ลืมไปว่า...

ลืมไม่ได้...
คำที่ดูลึกซึ้ง คำที่ทำให้คุณดื่มด่ำไปกับอดีตที่แสนดี
หรือ ปัจจุบันของอดีตตลอดเวลาที่อาจต้องจมดิ่งสู่ความปวดร้าว

น่าดีใจไหม ถ้าเป็นตัวแปรที่จะทำให้คนนึงรอดพ้นจากความทรมานได้
ด้วยการให้เขาลืมเรา

มนุษย์อาศัยอยู่ได้ด้วยการจำอะไรได้บ้าง-ไม่ได้บ้าง

แบงค์ : เออ นั่นสินะ

Saturday, July 14, 2007

ไม่เข้าใจ ตัว-เอง

นอนไม่หลับ
ไม่ได้นอนไม่หลับอย่างนี้มานานแล้ว อย่างที่ไม่ง่วง-ไปนอน-ไม่หลับ
แปลกตัวตั้งแต่นอนอย่างไม่ง่วงแล้วล่ะครับ
อารมณ์ไม่ดี-อารมณ์ไม่ดี-อารมณ์ไม่ดี

แต่ไม่รู้ว่าไม่ดียังไง โมโห? หงุดหงิด? เซ็ง? ท้อแท้? เบื่อ-หน่าย?
จับตัวเองไม่อยู่ ไม่รู้ทำไม

เป็นค่ำคืนแห่งความไม่รู้ เป็นคืนที่อยากหายตัวไปจากโลกนี้
อยากหลับเพื่อเจอวันพรุ่งนี้ แต่ก็กลัวว่าพรุ่งนี้ยังจะเหมือนวันนี้

คิดถึงอะไรก็เป็นชนวนทำให้สมองยิ่งฟุ้งซ่านวุ่นวาย
สมาธิ--หนทางแห่งความสงบ บ่อเกิดให้สติ ตอนนี้อยู่ในห้วงจิตแผนกไม่คิดใช้
รู้ว่ามีทาง แต่สมองไม่ทำตาม

เคยคิดว่าคนอื่นเลือกไม่ใช้เหตุผลสั่ง-สอนตัวเอง เพราะเขามีความสุขอยู่บนความซึมเศร้า
ตอนนี้ได้มาสัมผัสเองอีกนิด ก็เริ่มสั่นคลอนว่ามันจะโดนล้มล้าง

เพราะผมไม่ได้มีความสุขขณะที่ได้อยู่กับตัวเองเพียงลำพังอย่างแยกกันอยู่
ไม่ได้เกิดอารมณ์พิศวาสเมื่อได้เพ่งพินิจตัวเองว่าเหงาอยู่คนเดียว---เป็นจังหวะที่มนุษย์ได้อยู่กับตัวเอง และเห็นตัวเองได้ดีที่สุด

เปล่าเลย ผมไม่ได้ชอบ

แต่ผมอีกคน คงชอบ

เราสองคนเห็นตรงกัน แต่ไม่ได้รู้สึกอย่างเดียวกัน
พากันหลอกตัวเองทั้งนั้น!

ไม่อยากหลับ-ไม่อยากตื่น
คืนนี้ผ่านพ้น ขอให้ผมเข้าใจกับผมเสียที

Tuesday, June 26, 2007

สรรค์-ดาน

1.
เคยได้ยินเพลงท่อนนึงที่ไม่เคยทราบชื่อ คุณนักร้องเขาบอกเป็นทำนองว่า
"คุณไม่เคยคิดว่าตัวเองเลว เพราะคุณยืนอยู่ในความเลว"

หมายความว่าไง?---ช่างมันเถอะ

2.
คิดอะไรได้สั้นๆ

แต่มั่นใจว่า พรรคพวก-พวกพ้องผองเพื่อน
ไม่ใช่คนดีทั้งหมด

3.
สรุปแล้ว
โลกนี้มันมีแต่คนเลว ต่างกันที่เลวมาก-เลวน้อย
หรือมีแต่คนดี ดีมาก-ดีน้อย

โลกมันใหญ่เกินไป
หรือคนเราตัวเล็กไปเกินจะตอบ

ข้าพเจ้ามิใช่คนกำหนดโลก
โยนคำตอบให้กับคำว่า 'ชั่งมัน'

จบ

Tuesday, June 5, 2007

OH! MY GOD, MY HERO

หนอนตัวหนึ่งพลัดจากส่วนหนึ่งของจักรวาล ร่วงหล่นลงสู่พื้นหินแผ่นดินโลก

ช่วงเวลาที่มันยังไร้ชื่อขาดนาม มันก็คลานดุ่มๆ ปีนป่ายขึ้นสู่ยอดต้นไม้กัดกินผลของต้นแอ็ปเปิ้ลจนหมดสิ้น จนกระทั่งเหลือลูกสุดท้ายที่สุกแดงน่าอร่อยกว่าทุกลูก---หนอนตั้งใจเก็บมันไว้

เมื่อพระเจ้าเดินมาเห็นต้นแอ็ปเปิ้ลแห่งปัญญาเหลือผลอยู่ลูกเดียวก็โกรธ พาลคิดว่าเป็นฝีมือของอีวาน-อีฟที่พระองค์ทรงมอบหมายให้ดูแลสวนรวมถึงต้นแอ๊ปเปิ้ลต้นนี้ จึงขับไล่ลงจากสวรรค์ทันที หลังจากนั้นเมื่อเริ่มจะใจเย็นลง พระองค์ทรงเดินมาดูผลแอ๊ปเปิ้ลลูกสุดท้ายก็พบว่ามีตัวประหลาดตัวหนึ่งที่ท่านไม่ได้สร้างขึ้นมานอนอยู่ พระเจ้าร้องโวยวายเพราะตกใจกลัวเจ้าสัตว์ประหลาด พระองค์ทรงบินขึ้นบัลลังก์พร้อมกับรับสั่งให้ ‘กาเบีรยล’พร้อมเทวดานักรบ 4 หมื่นองค์ ล้อมต้นไม้และเจ้าสัตว์ประหลาดไว้ เจ้าหนอนเห็น...แต่เพราะไม่รู้จักการรบ-ไม่เคยพบการฆ่าฟัน มันย่อมไม่รู้เรื่อง

พระเจ้าสั่งรุดหน้าเต็มกำลัง เทวดานักรบเกือบครึ่งแสนกรูกันทิ่มแทงต้นแอ๊ปเปิ้ลแห่งปัญญาจนเหลือแต่ลำต้นและกิ่งก้านที่มีแอ็ปเปิ้ลลูกสุดท้ายห้อยอยู่ ส่วนหนอนยังคงอยู่ดีอย่างไม่รู้เรื่องราว ก็เพราะเทวดาไม่รู้จักรูปร่างของหนอนตัวนี้ แถมยังเป็นสิ่งที่พระเจ้าสูงสุดกลัว พวกเขาจะกล้าเพ่งพินิจอย่างไม่เกรงกลัวได้อย่างไร

พระเจ้าคิดว่าเพราะฤทธิ์ของผลแอ็ปเปิ้ลแห่งปัญญา เป็นต้นเหตุที่ทำให้เจ้าตัวประหลาดนี่มีอิทธิฤทธิ์เหนือการโจมตีของเหล่าเทวดา แถมยังทำให้พระองค์ไล่อีวานกับอีฟลงไปอย่างไร้ความผิด จึงเคียดแค้นตัวประหลาดนี่หนักกว่าเก่า วินาทีเดียวกันพระองค์ก็เอากำปั้นทุบพื้นบังลังก์เสียงดังกัมปนาทจนได้ยินทั้งจักรวาล พร้อมตะโกนสาปแช่งเจ้าตัวประหลาดนอกดินแดน และท้าสู้ตัวต่อตัวตามกฎดินแดนเทพ---หนอนก็ไม่รู้เรื่อง เพราะ...ไร้รูหู

สิ้นเสียงท้าสู้ ฟ้าก็เปลี่ยนสีแสงจากทองอร่ามเป็นแดงมืดน่าสะพรึง พระหัตถ์ทั้งสองข้างของพระองค์เต็มไปด้วยไฟโชติช่วงชัชวาล และเหาะเหินด้วยความเร็วเหนือแสงเข้าประชิดต้นแอ็ปเปิ้ลทันที แต่ความแรงของลมที่พระองค์ทรงพุ่งเข้ามา ทำให้กิ่งก้านของต้นแอ็ปเปิ้ลสั่นไหวจนหนอนไม่อาจทรงตัวอยู่ มันจึงร่วงหล่นลงพื้น

ถึงตาของหนอนจะไม่ดี แต่เมื่อมันเงยหน้าขึ้น ก็เห็นพระเจ้ากำลังชกต้นไม้ด้วยฝ่ามือพระเพลิงอยู่คนเดียวอย่างบ้าคลั่ง แอ็ปเปิ้ลลูกสุดท้ายร่วงหล่นลงพื้นอย่างช้าๆ หนอนเริ่มจะคลายจากความอิ่มท้องพอดีจึงคลานต้วมเตี้ยมไปกัดกินตามประสาหนอนด้วยการเจาะรูชอนไชสู่เนื้อในก่อนที่จะกัดกินหมดทั้งลูก

แต่ไม่ทันไร, เมื่อพระเจ้าหยุดพระหัตถ์ ทรงเห็นว่าเจ้าตัวประหลาดไม่อยู่บนต้นไม้นี้แล้วก็เลยคิดว่าหนอนตายไปแล้วจากการโจมตีของพระองค์ จึงแผดเสียงหัวเราะดังก้องทั่วจักรวาลอีกครั้ง ตามด้วยเสียงปรบมือจากเทวดานับล้าน นางฟ้า-กามเทพน้อยใหญ่ล้วนปิติต่อความกล้าหาญของพระองค์มาก

พระเจ้าเห็นแอ็ปเปิ้ลลูกสุดท้ายร่วงอยู่กับพื้น ก็คิดว่านี่เป็นดวงชะตาที่นอกเหนือพระองค์ลิขิต ดั่งเป็นรางวัลในชัยชนะของพระองค์ จึงคว้าแอ็ปเปิ้ลแห่งปัญญาลูกนั้นขึ้นมาเสวยทันที พร้อมกับชูมือขึ้นเพื่อแสดงถึงชัยชนะแห่งสรวงสวรรค์

เสียงปรบมือแผดก้องไปไกลอีกครั้ง

ก่อนที่จะเป็นเสียงร้องโวยวายของพระเจ้า ที่ดังไม่แพ้กัน
"OH MY GODDDDDDDDDDDDDD!!!!!"


แต่อย่างน้อยสุดท้ายพระองค์ทรงปราบสัตว์ประหลาดได้สำเร็จ
เก่งจริงๆ เย่


ปล. ฝืด ฝืด ฝืด ฝืด พูดได้คำเดียวแบบหลายครั้ง ฝืด ฝืด
ปล2. คลายเครียดๆ

Friday, April 27, 2007

พระจันทร์ ไม่ใช่สีน้ำเงิน..

วันนี้พระจันทร์น่ากลัว, สีแดงเข้ม มีเมฆล่องลอยคล้อยตาม คล้ายเป็นปีศาจร้ายแห่งนภา
ยืนมองอยู่สักพักจึงรู้ว่าแท้จริงพระจันทร์ช่างน่าสงสาร...
ทั้งที่ตัวเองไม่เคยเปลี่ยน ยังโดนมนุษย์ชาวโลกตัวเล็กๆ มองว่าน่ากลัวไปได้
เพียงแค่ยืนอยู่จุด ณ ที่มีเมฆลอยซ้อนหน้า แสงที่สาดผ่านลงมาอ่อนแรงลง ไม่สว่างไสวอย่างเคย---แค่นั้น

พระจันทร์น่ากลัว, แต่ไม่ใช่เพราะพระจันทร์น่ากลัว
เมฆใหญ่ก็ไม่ได้น่ากลัว---สีแดงไม่ได้น่ากลัว... เพียงเพราะพระจันทร์ตั้งอยู่ตรงนั้นต่างหาก ถึงน่ากลัว

มนุษย์บางคนไม่ได้น่ากลัว แต่คนกลัวเขาเพราะเขาอยู่ ณ ที่ที่ทำให้เขาน่ากลัว
มนุษย์แท้จริงไร้จิต มีแต่การปรุงเสริมเติมรส เติมด้วยเมฆ เติมด้วยสี
เมฆขาว-เทา-ดำ, สีขาว-เทา-ดำ

น่าสงสารคน
น่าสงสารพระจันทร์

Thursday, April 19, 2007

ปุจฉา : ทำไม?

บางเวลาที่อารมณ์ของเรามันฉูดฉาดเกินความจำเป็น ใจมันร้อน มองอะไรก็หงุดหงิด ทำอย่างไรครับ? อิจฉา ริษยา โมโหโทโส ฯลฯ สุดแล้วแต่ท่านจะนึก
มันเป็นอาการที่ฟุ่มเฟือยของมนุษย์-สัตว์ทั่วโลก
แต่มันสร้างสีสัน-มิติให้กับโลกนี้มากเช่นเดียวกัน เพราะถ้าโลกนี้ไร้อารมณ์เสีย คงไม่มีคำว่าอารมณ์ดี-ควรขอบคุณพระเจ้าไหมครับ? ท่านสร้างความสุขให้เราด้วยการผลิตความทุกข์
หลายครั้งที่ผมโกรธ, หน้ามืดจนสว่างพอจะมีไฟส่องดูกำแพงสมอง-หัวใจได้ คำถามมักจะตามออกมาอยู่เสมอ

พระเขาเรียก ‘ปุจฉา’ คนธรรมดาคำเรียก ‘ตั้งคำถาม’
คำถามบางคำที่กลิ้งออกมาจากส่วนสมอง เรียกร้องอยากได้คำตอบที่ถูกต้อง---ถูกต้องอย่างที่เราคิดว่าถูกต้อง เมื่อตกผลึกคิดได้ก็พยักหน้างึก ยอมรับว่ามันถูกต้องแล้ว แต่คนอื่นส่ายหนักเพราะว่ามันผิด จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นมนุษย์ฆ่าฟันกันเอง พี่ฆ่าน้องแย่งมรดก แฟนเก่าเผาร่างแฟนใหม่ นางสาว ก. เอาน้ำกรดซดหน้า นางสาว ข. ฯลฯ เพราะเขาคิดว่าถูก---แค่วินาทีนั้น
คนเรามักพยายามตั้งคำถาม-สร้างคำตอบให้แก่ประโยชน์ส่วนตนเสมอ
เพราะโลกของมนุษย์อยู่แค่ใน ตา-หู-จมูก-ปาก-สมอง ของมนุษย์
จนบางทีเราก็เป็นศูนย์กลางของจักรวาลด้วยซ้ำ
แต่ก็นั่นอีกแหละครับ, จักรวาลในตัวเราเอง

ผมได้ยินบ่อยจนชินว่า ถ้ามนุษย์ตัดคำว่า ‘ทำไม’ ออกจากชีวิตไปได้ ชีวิตจะง่ายกว่านี้
ครับ เห็นด้วย, เพราะถ้ามนุษย์ไม่มีคำว่า ‘ทำไม’ ตั้งแต่เมื่อหมื่นปีก่อน ก็จะไม่ต้องมีความวุ่นวายขนาดนี้ ไม่ต้องเดินเข้าถ้ำหาทางสู้ช้างแมมมอธ กินพืชกินผักกันไปตามประสาสัตว์สปีชี่ส์ลิง
แต่หางมันดันหายไปแล้ว ทำยังไงได้? ก็ต้องยืนตัวตั้งสู้มันต่อไป

วันนี้ผมหงุดหงิด, แต่ผมไม่มีคำถาม จึงไม่มีคำตอบ แต่ไม่ยักหายหงุดหงิด
มนุษย์กลืนกินคำว่า ‘ทำไม’ ไปแล้วนี่ครับ ถึงตอนนี้ไม่มีคำว่า ‘ทำไม’ เราก็สามารถยังคงอยู่ในสภาวะที่ไม่ปรกติทางอารมณ์ได้อย่างคล่องแคล่วและเคยชิน---ตายละวา

คำว่า ‘ทำไม’ เป็นส่วนในการพัฒนาโลก เป็นปรัชญาของครีเอทีฟ-นักคิดทั้งหลายมานานนับศตวรรษ โลกกลม โลกแบน เครื่องบิน เรือดำน้ำ ก็อปปี้ร่างมนุษย์ ภาษี กำไร ดอกเบี้ย หวย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาด้วยคำถามทั้งสิ้น (ไม่เว้นแม้แต่ตัวสุดท้าย)
ปรบมือดังๆ ให้กับ ‘?’ ที่ทำให้มนุษย์ก้าวเดินเจริญพันธุ์มาได้เป็นหมื่นปี
และมั่นใจว่าคุณ ‘?’ ยังไม่หยุดขยันในเวลาอันใกล้นี้แน่ เขาจะยังช่วยมนุษย์พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงวันสุดท้ายของพวกลูกหลานลิง ที่จะตั้งคำถามให้กับตัวเองว่า
ปุจฉา : กูจะ ‘ทำไม’ ทำไม?

Saturday, March 31, 2007

space for _____.

เด็กห้องคิงส์, ผมเคยเป็นอคติกับเด็กที่ถูกจัดกลุ่มไว้ในประเภทนี้ครับ เพราะเป็นไปตามธรรมชาติที่เด็กห้องรั้งท้ายจะต้องเกลียด-ดูถูกผู้ที่ติ๋มกว่า หรืออีกนัยหนึ่งจะว่าอิจฉาก็ได้ครับ ที่พวกเขาเหนือกว่า-เก่งกว่าไปซะทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องเรียน

ห้องที่ผมอยู่มาตลอด 3 ปีช่วงเรียนมัธยมเป็นห้องเรียนสาย ศิลป์-ทั่วไป ไม่ต้องคิดมากครับว่ามันเรียนอะไรกัน เอาเป็นว่ามันเป็นห้องที่เด็กเรียนห่วยแตกรวมตัวกันอยู่อย่างหนาแน่นแล้วกัน ขณะนั้นผมแทบจำไม่ได้ว่ามีเพื่อนอยู่ห้องคิงส์บ้างหรือเปล่า เพราะเท่าที่จำได้ฉลาดสุดก็จะเป็นห้องที่เรียนศิลป์-ภาษา พวกวิทย์-คณิตนี่ยังไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่ในเมมโมร

ไม่ใช่ว่าไม่คบกับเขาครับ แต่เหมือนว่าช่วงนั้นมันเป็นความแตกต่างระหว่างสองขั้วที่ดูแล้วจะไปด้วยกันไม่ได้ เด็กที่บ้าเรียนอย่างเด็กห้องคิงก็จะมีบุคลิกที่โดดเด่นอย่างเหมือนกันแทบทุกคนคือ แต่งตัวถูกระเบียบ, หน้าตาเรียบร้อย, กระเป๋าหนา, ใส่แว่น, พูดหยาบแบบเบาเบา, เล่นอะไรที่มันสร้างสรรค์, ในสมัยนี้คงเรียกรวมๆว่า 'เนิร์ดๆ'

กลับมาดูที่พวกผม, หน้าตาผิดระเบียบ, แต่งตัวผิดระเบียบ, กระเป๋าแบนแฟ่บ, พูดจาหยาบอย่างโฉ่งฉ่าง, เล่นอะไรที่มันมอมเมาและไร้สาระ, ในสมัยไหนเขาก็เรียกพวกเด็กเกเร

ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่มันกลายเป็นสองฝั่งกันอย่างถาวร พาลทำให้ไม่ชอบหน้าและมีการดูถูกกันเกิดขึ้น

เด็กห้องคิงส์ก็ดูถูกเด็กห้องบ๊วยว่า "พวกมึงก็ได้แค่กร่าง ใช้สมองไม่เป็น"
เด็กห้องบ๊วยก็ดูถูกเด็กห้องคิงส์ว่า "พวกมึงก็ได้แค่เรียน ใช้ชีวิตไม่เป็น"

ผมก็เคยคิดอย่างที่เด็กห้องบ๊วยเป็น แต่เท่าที่ผมผ่านชีวิต ม.ปลาย มาแล้วกว่า 4 ปี มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมได้ตาสว่างขึ้น
เด็กห้องคิงส์เรียนดีที่ผมเห็นในวันนั้น วันนี้กลายเป็นพวกติดเหล้า สูบบุหรี่ และทำหลายสิ่งอย่างที่เด็กห้องบ๊วยสมัยนั้นทำ บางคนยังเรียนไม่จบและออกไปทำตัวเละเทะ และยิ่งบางคนที่พลาดหวังกับการเอนท์ทรานซ์ก็ยังจิตใจล้มเหลวจนเป็นอันไม่ทำอะไรอีกต่างหาก แถมยังมีอีกช่วงหนึ่งที่มีข่าวเกี่ยวกับนักวิชาการ-แพทย์-อาชีพต่างๆ ที่ดูแล้วฉลาดจะมีปัญหาทางจิตมากกว่าใครเพื่อน
ส่วนเด็กเรียนห้องบ๊วยเรียนเลวในวันนี้ เพื่อนผมบางคนเรียนดีซะจนพวกห้องคิงส์มาเห็นยังต้องอาย บางคนได้ดิบได้ดีจนทำการทำงานกันก่อนหน้าเพื่อนหลายคน บางคนก็ผ่านประสบการณ์ชีวิตที่กลายสภาพมาเป็นแนวคิดอันยอดเยี่ยมต่อการพัฒนาสังคมได้
เพราะสังคมแวดล้อมที่เขาผ่านมาตลอดเวลาที่เขาใช้ชีวิต รวมถึงช่วงที่อยู่ในห้องบ๊วยนี่ด้วย หรือกับคนที่มีชื่อเสียงบางคน เขาโด่งดังและเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในศาสตร์ต่างๆ ได้โดยที่ไม่ต้องเป็นคนที่อยู่ในห้องเรียนซึ่งเต็มไปด้วยเด็กเรียนมาก่อนด้วยซ้ำ

ยิ่งได้คิดผมยิ่งแน่ใจว่า มันช่างเชื่ออะไรไม่ได้เลย
คนเราจะเป็นอย่างที่ถูกตัดสินไปในช่วงใดช่วงหนึ่งได้อย่างไรกัน?
เส้นทางชีวิตของมนุษย์มันหันเหได้ทุกทางภายในเสี้ยววินาทีแห่งความคิดและสำนึก
คนดีคิดจะชั่วก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องข้ามคืน
คนชั่วคิดจะดีก็ทำได้โดยไม่ต้องข้ามวันเช่นเดียวกัน
ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจว่าอย่างนั้น

คิงส์แล้วไง? บ๊วยแล้วไง?, นี่คือสิ่งที่ผมคิดได้
เก่งแล้วไง-อ่อนแล้วไง?, นี่ด้วย

ว่าแต่ ใครกำหนดว่า คิงส์คือผู้ยิ่งใหญ่? เก่งคือคนที่น่านับถือ? บ๊วยคือคนห่วย? อ่อนคือคนแย่?
ไม่ใช่ 'ใจ' ของมนุษย์หรอกเหรอครับ?

ถามมนุษย์ทุกผู้
จะเก่งไปทำไมครับ?

Sunday, March 25, 2007

เพื่อนร่วมห้อง


ผมนั่งหันหลังให้ประตูในห้องที่บุด้วยไม้สีน้ำตาลอ่อน-เข้มเรียงราย คะเนความกว้างของห้องนี้ด้วยสายตาแล้วก็คงพอที่จะวางเพียงแค่เตียงและโต๊ะอย่างละตัว แต่ตอนนี้มันไม่มีทั้งโต๊ะ เตียงหรือตู้อยู่สักตัว ตรงข้ามประตูไม้สีแดงเข้ม มีหน้าต่างอยู่บานหนึ่ง กรอบสีน้ำเงินอมความชื้นอยู่เต็มแผ่น กระจกที่ติดอยู่ในหน้าต่างนั้นดูแล้วน่าจะขาดการทำความสะอาดมานานพอตัว จึงมีคราบสีน้ำตาลจากความชื้นและร่องรอยความสกปรกเกาะอยู่อย่างเหนียวแน่นใช้ได้ ลมเย็นจากอากาศที่หนาวเหน็บข้างนอกนั้นพัดผ่านเข้ามาจากหน้าต่างที่แง้มเปิดอยู่หนึ่งทาง และช่องใต้ประตูด้านหลังผมอีกหนึ่งทาง


พื้นไม้ของห้องเต็มไปด้วยความชื้น หลักฐานคือแผ่นไม้ที่เริ่มถลอกปอกเปิกและบวมจนแตกผลิเพราะความเย็นเหล่านั้น ลูกบิดประตูก็ไม่ต่างกันที่เย็นเฉียบเพราะอากาศในฤดูกาลอันหนาวเหน็บนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติยังเมตตา ยังกรุณาส่งแสงแรงร้อนผ่าวเข้าผ่านกรอบหน้าต่างตรงมากลางห้อง บริเวณที่ผมนั่งอยู่พอดี


ใช่ ผมนั่งอยู่กลางห้องอันหนาวเหน็บและเผชิญหน้ากับแสงแดดอันร้อนแรง แต่..


ผมไม่รู้สึกว่าร้อน


ผมไม่รู้สึกว่าหนาว


ผมอยู่ในห้องนี้มานานแสนนาน ก่อนที่พ่อ-แม่และคนอื่นๆ ในครอบครัวจะย้ายออกไป ปล่อยให้ผมอยู่ที่นี่เพียงลำพัง อย่างไรก็ตาม ผมมีความสุขที่ได้อยู่ในห้องแห่งนี้ตามที่ตัวเองต้องการ ----- ครอบครัวผมคงรู้ว่าผมต้องการอะไร


ในห้องแห่งนี้ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เขาชื่ออะไรผมไม่ทราบแน่ชัดเพราะเราไม่เคยคุยกันมาก่อน แต่จำได้ว่าเขาเข้ามาในห้องนี้ผ่านช่องใต้ประตูอย่างเงียบเชียบก่อนที่จะตั้งหลักปักฐานอยู่ที่มุมเพดานด้านขวาบน ผมเห็นทุกปฏิกิริยาของเขาตั้งแต่เข้ามาในห้อง จนกระทั่งปีนขึ้นมุมห้องและจัดแจงทอดใยเป็นรูปแปดเหลี่ยมซับซ้อนสวยงามและหลบไปหลับพักผ่อนอย่างสบายใจเมื่อจัดการสร้างที่พำนักในบ้านคนอื่นเสร็จ


ตลอดเวลาหลายวันผมเห็นแมลงหลายตัวที่บินลอดผ่านหน้าต่างกรอบสีน้ำเงินเข้มตรงหน้าไป แมลงเหล่านั้นบินฉวัดเฉวียนไปมารอบห้อง สร้างความรำคาญให้ผมพอสมควร แต่ไม่นานแมลงโง่พวกนั้นก็บินขึ้นไปติดใยใสเหนียวเหนอะของเพื่อนร่วมห้องของผมจนขยับไปไหนต่อไหนไม่ได้อีกต่อไป ------ เมื่อผมรู้สึกตัวอีกทีแมลงที่เคยติดอยู่บนนั้นก็หายไปเแล้ว เหลือเพียงปีกบางๆ ที่หลุดร่วงโรยรายอยู่ตามพื้นไว้ให้ดูต่างหน้าเท่านั้น


กิจวัตรของเพื่อนร่วมห้องของผมผู้นี้เป็นไปอย่างเรียบง่าย ทอดใยเพื่อรอเหยื่อมาติดกับ แล้วก็รับกินๆๆ แมลงเหล่านั้นเปรมปรีไปวันๆ เขาคงเกลียดอากาศหนาวจึงไม่อยากออกไปข้างนอก แต่ก็มีบ้างที่เขาเดินออกไปทางช่องใต้ประตูและหายไป แต่ไม่นานเขาก็กลับมาที่เดิม


ห้องที่เคยสะอาดสะอ้านของผม ขณะนี้เต็มไปด้วยเส้นใยบางๆ สีเทาอ่อนโยงไปมารอบเพดานห้อง บางครั้งเส้นใยเหล่านั้นก็ร่วงหล่นมาสู่พื้นและปลิวว่อนไปมาในอากาศของห้องแคบๆ นี้ แต่ผมไม่ได้ตำหนิหรือบ่นอะไรกับเขาสักคำ ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่คิดจะปรับปรุงอะไรด้วยเช่นเดียวกัน


เวลาผ่านไปหลายอาทิตย์ เช้าวันหนึ่งมีผีเสื้อสีสวยบินลอดหน้าต่างกรอบสีน้ำเงินเข้ามาในห้อง กรีดกรายปีกสีชมพูอมม่วงขึ้นลงไปมาอย่างมีจังหวะ ดูร่าเริงแจ่มใสและกำลัง_ตื่นเต้นกับความอิสระเสรีที่มาพร้อมปีกอันสวยงาม เธอขยับปีกพริ้วไปมาเกาะตรงโน้นที-ตรงนี้ทีรอบห้องสีน้ำตาลอ่อน-เข้มแคบๆ นี้


ผีเสื้อปีกสวยโบยบินสำรวจจนเกือบครบทุกตารางนิ้วของห้องจนกระทั่งถึงมุมห้องมุมหนึ่ง ผีเสือสาวผู้โชคร้ายก็ผ่านไปเจอใยแมงมุมสีใสที่เต็มไปด้วยความเหนียว ปีกที่สวยงามขณะนี้ขยับไม่เป็นจังหวะและร้อนรนเพราะถูกพันธนาการด้วยเส้นใยของเพื่อนร่วมห้องของผม ผีเสื้อพยายามดิ้นเพื่อทวงความอิสระ หากแต่เส้นใยเหล่านั้นยิ่งรัดตัวของเธอแน่นยิ่งขึ้นไปอีก จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เธอก็หมดแรงที่จะต่อสู้กับเส้นใยที่แมงมุมทอดไว้ และรู้ดีว่านี่คืออะไรที่เรียกว่าใยแมงมุม และยังรู้ตัวอีกด้วยว่าคงไม่รอดจากเงื้อมมือของเจ้าของเส้นใยเหล่านี้แน่ หลังจากที่ดึงดันดิ้นด้นเพื่อเอาชีวิตรอดมายาวนาน ผีเสื้อปีกสวยก็หมดแรงที่จะทำอะไรต่อและผลอยหลับไปในที่สุด


แมงมุมเคลื่อนตัวจากมุมห้องหนึ่งเพื่อตรวจตราว่ามีเหยื่อติดอยู่ที่ใดของใยบ้าง เขาเดินไปมาอย่างใจเย็น จนมาถึงมุมห้องหนึ่ง และพบว่าตัวเองได้เหยื่อที่สวยงาม-ประหลาดตาที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ ปีกสีชมพูอมม่วงเป็นประกาย ถึงแม้จะถูกพันธนาการด้วยใยแมงมุมเหนียวใสก็ยังคงความสวยงามอยู่ แต่ตอนนี้เหยื่อตัวนี้กำลังหลับใหลเขาควรจะกินเธอตอนไหนกัน
---- แมงมุมครุ่นคิด


เมื่อผีเสื้อสาวตื่นขึ้น ก็ได้พบกับเพื่อนร่วมห้องหน้าตาดีของผม เพื่อนที่ตัวดำทมึน แปดขา กำลังจ้องเธอเขม็งจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ร้องให้ผู้อื่นช่วยทั้งที่ไม่มีใครสักคนอยู่ในห้องนี้ จะมีก็เพียงแต่แมลงด้วยกัน แน่นอนว่าแมลงเหล่านั้นก็ถูกจองจำด้วยใยแบบเดียวกันกับเธอ น้ำตาแห่งความหวาดกลัวกลั่นไหลเอ่อล้นมาจากสองตาผีเสื้อสาว พร้อมถ้อยคำอ้อนวอนขอชีวิตกับแมงมุมที่อยู่ตรงหน้าก่อนที่จะรู้ว่าเส้นใยที่เคยพันธนาการตนเองนั้น ได้ถูกปลดออกจนสิ้น ผีเสื้อจ้องมองแมงมุมอย่างไม่เข้าใจ


"ไปซะ"
แมงมุมเอ่ยเสียงต่ำ พร้อมย่างขาทั้งแปดขึ้นไปตามใยของเขาจากมุมห้องหนึ่งสู่อีกมุมห้องหนึ่ง


ผีเสื้อรีบขยับปีกจะบิน แต่โชคร้ายที่ปีกคู่สวยของเธอตอนนี้ไม่พร้อมแก่การโบยบินเสียแล้ว นั่นคงมาจากการดิ้นเอาตัวรอดอย่างรุนแรงเมื่อหลายขั่วโมงก่อน กว่าแผลจะหายและสามารถบินอย่างเดิมได้ก็คงต้องกินเวลาหลายวัน
------ 'ยังไงก็ตายอยู่ดี' เธอคิดด้วยความสิ้นหวัง


แมงมุมเห็นผีเสื้อไปไหนไม่ได้ เขารู้ว่าเธอเป็นแผลจนไม่สามารถบินได้ จึงบอกให้ผีเสื้ออยู่ที่รังของตนไปก่อน ผีเสื้อรีบปฏิเสธความปรารถนาดี และไม่คิดจะอยู่ต่อแม้แต่น้อย ดึงดันและยืนยันที่จะกลับรังของตนที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างให้ได้ ขณะเดียวกันเธอก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะออกไปข้างนอกนั้นได้โดยไม่มีปีก เพราะยังไงก็ไม่สามารถปีนกำแพงที่สูงขนาดนั้นได้ เธอแหงนมองขอบหน้าตาสูงลิบผ่านน้ำตา แมงมุมเห็นดังนั้นจึงเอ่ยปากว่า


ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเจ้า และจะปล่อยเจ้าไปหลังจากที่เจ้าหายดี
เสียงทุ้มต่ำนั้นทำให้ผีเสื้อดูยิ่งจะหวาดกลัวยิ่งขึ้น แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่นจึงยอมรับที่จะอยู่ในรังของแมงมุมต่ออย่างกล้ำกลืนฝืนทน


แมงมุมสร้างรังชั่วคราวให้กับเธอที่มุมห้องหนึ่ง ใช้ใบไม้สี่ใบวางบนเส้นใย คล้ายเปลยวนหรูหราที่ผมเคยเห็นในโทรทัศน์ ------ ผมจำได้ว่ามุมห้องตำแหน่งนี้เป็นมุมโปรดของเพื่อนร่วมห้องของผม


เวลาผ่านไปสองวัน ผีเสื้อสาวทำทีว่าจะไม่รอดเพราะอดอาหารมานาน แมงมุมเห็นท่าไม่ดีและไม่มีทางเลือก มองรอบตัวและมั่นใจว่าผีเสื้อไม่ชอบกินแมงหวี่หรือยุงลายแน่ จึงออกไปนอกหน้าต่างเพื่อหาอาหารให้กับผีเสื้อ เขาไม่เคยรู้ว่าผีเสื้อนั้นชอบกินอะไร แต่เคยเห็นพวกผีเสื้อตัวอื่นชอบตอมชอบดอมดมดอกไม้ จึงเดาอย่างมั่นใจว่าผีเสื้อชอบกินน้ำหวานที่มาจากดอกไม้แน่ๆ แต่กลับกัน เขาเกลียดของเหลวหวานๆ แบบนี้เสียยิ่งกว่าทุกสิ่ง เขารู้สึกว่าของหวานจะทำให้ปากของเขาแห้งผากจนทานอะไรไม่ได้ ------ ผีเสื้อพวกนี้กินน้ำหวานพวกนี้เข้าไปได้ยังไงเนี่ย ---- แมงมุมคิดไปขณะที่ยืนอยู่บนกลีบดอกไม้สีชมพู


คืนนั้นผีเสื้อสาวอิ่มเอมน้ำหวานที่แมงมุมตักตวงนำมาให้จากนอกหน้าต่าง และวันต่อๆ มาเธอก็ได้รับน้ำหวานต่างชนิดกันทุกวันจากเขา ปริมาณน้ำหวานที่แมงมุมหามาให้ผีเสื้อ มากกว่าที่เธอจะสามารถหาเองได้ในแต่ละวันเสียอีก


หลายวันต่อมาขณะที่แมงมุมกำลังจะปลิดชีพเหยื่ออันโอชะซึ่งมาติดใยของเขา วันนี้อาหารเป็นเนื้อแมลงหวี่ขนาดกลาง เขาจำได้ติดลิ้นดีว่าเนื้อของมันหอมหวานขนาดไหน วินาทีเดียวกันแมงมุมก็เห็นว่าผีเสื้อสาวมองเขาด้วยความหวาดกลัวอย่างที่เจอกันในวันแรก ตัวของเธอสั่นเทาพร้อมกับหลบสายตาของเขาอย่างลุกลี้ลุกลน


แมลงหวี่ไซส์เอ็มตัวนั้นร่วงหล่นสู่พื้นห้อง


ห้าวันต่อมา เส้นใยในห้องของผมเต็มไปด้วยแมลงนานาพันธุ์ ปกติแล้วพวกมันจะอยู่กับที่ไม่นานนักก่อนที่เพื่อนร่วมห้องของผมจะมาจัดการ เวลานี้เขาทิ้งตัวนอนหลับอยู่ใกล้กับผีเสื้อ กิจวัตรของเขาเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนเช้าที่ต้องเร่งรีบออกไปหาน้ำหวานเพื่อนำมาให้กับผีเสื้อสาว รวมถึงวันนี้ที่เขาไม่ค่อยทอดใยใหม่ๆ เสียเท่าไหร่ ทำให้ผมอดดูศิลปะการสานใยของเขาไปโดยปริยาย


ความหนาวเหน็บในฤดูหนาวเหิมเกริมขึ้นทุกวัน ผมรู้สึกว่าความชื้นในห้องแห่งนี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะลมเย็นที่ผ่านมาใต้ช่องประตู ทำเอาแมงมุมหนาวเข้ากระดูก แต่ผีเสื้อกลับอบอุ่นเพราะเธอไม่โดนลมแม้แต่น้อย ไม่นานนักอาการของเธอก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เธอเริ่มขยับปีกไปมาได้คล่องแคล่วขึ้นทุกวัน ปีกที่เคยขาดแหว่ง ตอนนี้อาการดีขึ้นจนแทบจะเหมือนเดิม ผีเสื้อสาวในวันนี้ไม่มีความหวาดกลัวในตัวแมงมุมอีกต่อไปถึงแม้ว่าเขาจะมีเสียงต่ำและรูปร่าง-หน้าตาน่ากลัวก็ตาม


เช้าของอีกวันผีเสื้อและแมงมุมยืนอยู่บนชั้นวางของ ผีเสื้อสาวเชื่อว่าปีกของเธอหายดีแล้ว วันนี้เธอจึงจะทดลองบิน ----- แมงมุมคิดตรงกับผีเสื้อ แต่เขาไม่อยากให้เธอบินได้อย่างเคยเลยแม้แต่น้อย


ผีเสื้อยืนริมชั้นวางของ เบื้องล่างเป็นพื้นไม้ถลอกปอกเปิก เธอก้าวออกจากชั้นและสะบัดปีกคู่ที่เคยฉีกขาด พลันผีเสื้อสาวก็โบยบินขึ้นสู่เพดานห้องฉวัดเฉวียนไปมาได้อย่างอิสรเสรีเช่นเดิม เธอดูจะดีใจมากที่ได้รับอิสรภาพคืนดังเดิมเสียที


แมงมุมมองดูผีเสื้อสาวบินไปมา เขารู้สึกดีใจที่เธอสามารถบินได้อีกครั้งหนึ่ง เพราะหากว่าผีเสื้อมีปีกแล้วบินไม่ได้ก็คงจะไม่มีความสุขตลอดกาล แต่อีกมิติหนึ่ง ใจของเขากลับรู้สึกเสียใจที่รู้ดีว่าเมื่อผีเสื้อหายดีเมื่อไหร่ เธอจะต้องกลับไปสู่โลกนอกหน้าต่างอีกครา


เธอบินโฉบมายืนข้างเขาแล้วกล่าวขอบคุณในทุกสิ่งที่เขาทำให้เธอมาโดยตลอด และบอกว่าเธอซาบซึ้งใจแค่ไหนที่ได้รู้จักกับเขา แถวหอมแก้มเขาฟอดใหญ่ซะผมเขินแทน เธอสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมเขาบ่อยๆ ก่อนที่จะบินลอดหน้าต่างกรอบสีน้ำเงินออกไปเผชิญหน้ากับแสงแดดอุ่น และบินลับไปจนสุดสายตาของเขา


นอกหน้าต่างนั้นมีธรรมชาติที่สดใส ต้นไม้ใบหญ้าพลิ้วไหวลมเย็น เสียงสายน้ำใสฟังคล้ายเสียงสวรรค์ บรรดานกนานาพันธุ์ช่วยกันขับขานร้องเพลงอย่างพร้อมเพรียง ฟังดูมั่วซั่วแต่เป็นทำนองที่ไม่สามารถหาแคนโต้หรือโคลงกลอนบทไหนเทียบได้ ผีเสื้อสาวบินกลับสู่บ้านของเธอที่อยู่ในธรรมชาติเหล่านั้น


แมงมุมยืนอยู่บนชั้นวางของนิ่ง ขณะนี้แม้แต่ขาสักหนึ่งในแปดข้างของเขาดูเหมือนจะขยับอย่างยากเย็น ไร้เรี่ยวแรงแม้จะเดินเพียงก้าว แมงมุมไม่ได้รับอาหารมานานหลายอาทิตย์ แม้แต่น้ำก็ยังทานไม่ได้เพราะช่องปากที่แห้งผาก ความผิดปกติหลังจากที่ออกไปเจอกับอากาศหนาวนอกห้องหน้าต่างเริ่มแสดงตัว

เขายังคงนั่งนิ่งอยู่ที่ชั้นวางของแห่งเดิม ทอดสายตาไปยังนอกหน้าต่างกรอบสีน้ำเงิน แมลงมากมายบินผ่านไปมา ลอดเข้ามาในห้องแห่งนี้และบินจากไป แต่วันเวลาผ่านไปกี่วันกี่คืน เขาก็ยังไม่เห็นผีเสื้อบินลอดผ่านหน้าต่างบานนี้เข้ามาเลยสักตัวเดียว ------ ผมเองก็เหมือนกัน

แมงมุมยังคงยืนอยู่กับที่ไม่ไปไหน จนกระทั่งวันสุดท้ายที่เขาร่วงหล่นสู่พื้นห้องที่ถลอกปอกเปิก ------ในวันนั้นก็ยังคงไม่มีผีเสื้อตัวไหนบินผ่านเข้ามาในห้องนี้

อากาศวันนี้ค่อนข้างหนาว แต่ยังคงมีแสงแดดสาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในตัวห้องได้ ผมนั่งอยู่กลางแดดในห้องแห่งนี้ ข้างผมเป็นร่างเล็กๆ ของแมงมุมตัวหนึ่งที่ผมเรียกเขาว่า เพื่อนร่วมห้อง

ผมนั่งอยู่กลางแดดร้อน ที่ห้อมล้อมไปด้วยอากาศที่หนาวเหน็บ แต่ ...


ผมไม่รู้สึกว่าร้อน

ผมไม่รู้สึกว่าหนาว

.......

เพื่อนร่วมห้องของผม ก็คงเหมือนกัน


นอกเรื่อง : เพื่อนร่วมห้อง เวอร์ชั่นแรกเขียนเมื่อปีที่แล้ว ลงไว้ที่ myspace ของ MSN แต่เกิดอาเพส(เขียนถูกไหมหว่า)ภัย ดันลบบล็อก และก็ฟอร์แมท Backup ไปจนหมดเกลี้ยง (เกือบ 200 ไดอารี่+บทความ) ใจแทบสลาย-----แค่จะบอกว่า นี่เป็นเวอร์ชั่นสอง เท่านั้นแหละ - - แต่ผมชอบเวอร์ชั่นแรกมากกว่าแหะ

คิด(ส์)

14.33 น.

ผมนั่งอยู่บนโซฟาสีน้ำเงินเข้มในบ้าน พลางมองออกไปนอกหน้าต่างที่อยู่ใกล้จมูกไม่ถึงหนึ่งเมตร
มือของผมขยับช้อนวนไปมาในถ้วยชาที่มีโอวัลตินร้อนรินอยู่เต็ม ไอร้อนที่ออกมาจากถ้วยทำสันมือของผมร้อนไม่ใช่เล่น

ผมเหม่อมองออกไปยังบ้านฝั่งตรงข้ามที่เรียงรายอยู่เป็นทิวแถว
ที่บ้านฝั่งตรงข้าม ประตูสีชมพู รั้วสีขาว สนามหญ้าเขียวขจี ดูสวยสะอาดตา อยากจะมีบ้านอย่างนี้บ้าง---ผมคิดในใจ

เพล้ง !!!
กระจกบ้านหลังสวยที่ผมหวังว่าอยากจะครอบครองแตกออก พร้อมเสียงโฮของหญิงสาวเจ้าของบ้านที่ผมคุ้นเคย ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของเด็กสองคน---ที่ผมคุ้นเคยเช่นเดียวกัน

เจ้าเด็กสองคนนั้นวิ่งออกมาจากบ้านประตูสีชมพูรั้วสีขาว และวิ่งไปยังบ้านต่อไป

เพล้ง !! ปัง !!! ตูม !
ทั้งสองเที่ยวเล่นพังข้าวของอย่างสนุกสนานด้วยเสียงหัวเราะร่าเริง

บรรดาผู้เคราะห์ร้ายที่ประสบกับความวุ่นวายของเจ้าเด็กน้อยทั้งสอง หลายคนเจ็บตัว ได้แผล-เสียเลือด บางคนโชคดีหน่อยก็แค่ฟกช้ำ และทรัพย์สินเสียหาย แต่กับบางคนที่ไม่ได้เสียแค่นั้น ภัยร้ายของเจ้าเด็กทั้งสองบางครั้งทำลายชีวิตชาวบ้านบางคน

ผมเคยเห็นตำรวจ นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา และหลากหลายอาชีพ เดินผ่านหน้าบ้านผมไปยังที่ๆ เด็กสองคนนั้นอยู่ หวังจะปราบให้อยู่หมัด แต่ไม่นานนักก็โดนทั้งคู่ไล่รังแกกลับมาทุกคน ไม่เคยเห็นใครสยบเจ้าพวกนั้นได้

เท่าที่ผมจำความได้ ไอ้เด็ก(เปรต)สองคนนี้ไล่รังแกคนแถวนี้มานาน ตั้งแต่ตอนที่ผมมานั่งมองเหตุการณ์หน้าบ้านผ่านหน้าต่างบานนี้ ย้อนกลับไปซัก 7-8 ปี ตอนนั้นเกเรยังไง-ตอนนี้ก็ยังคงเป็นยังงั้นไม่เปลี่ยนแปลง จำได้ลางๆ ว่าพวกนั้นเคยเข้ามาที่บ้านผมบ้างเหมือนกัน แต่ผมยังเด็กเหลือเกิน เกินที่จะเปิดประตูต้อนรับได้ ตอนนั้นพวกเขาก็นิสัยดีนะเหมือนกันนะ ที่ไม่ได้พังบ้านเข้ามา แต่กลับไปพังอีกบ้านนึงแทน----แต่ก็ไม่แปลก

มีบางบ้านไม่กลัวพวกมัน เมื่อมันวิ่งเข้าบ้านไปเจ้าของบ้านก็ปล่อยให้มันเล่นซน ไม่นานเจ้าเด็กสองคนนั้นก็เดินออกมา ด้วยท่าทีร่าเริงเหมือนเดิม ----- บางบ้าน แค่เห็นหน้าพวกมัน ก็ก้มลงกราบกรานขับไล่ แต่มันทั้งคู่ก็เดินข้ามหัวที่กราบนั่นแหละ เข้าไปพังข้าวของซะพังยับเยิน

เด็กสองคนนี้สนุกสนานกับการทำลายและรักการก่อกวนเป็นชีวิตจิตใจ

ผมนั่งมองทั้งคู่จนวิ่งไปสุดลับตา ไปยังบ้านที่ผมมองไม่เห็น ผมซดโอวัลตินที่เย็นชืดจนหมดถ้วย วินาทีเดียวกันโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
----- ปลายสายต้องการจะสนทนากับผม ...

เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังจากการสนทนาเงียบๆระหว่างผมและคนปลายสาย
ผมวางหูโทรศัพท์ลงช้าๆ พร้อมกับถอนหายใจอย่างเนือยๆ คิดทบทวนไปกับบทสนทนาเมื่อครู่

ปังๆๆๆๆ !!!
เสียงเคาะประตูหน้าบ้านของผม ... ฟังดูไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย ใครที่ไหนเขาเคาะประตูกัน ปังๆๆๆๆ แบบนี้ ------ ผมนึกในใจขณะที่รีบเดินไปเปิดประตูบ้านต้อนรับแขกผู้ซึ่งเป็นเจ้าของเสียงเคาะประตูจังหวะแปลกๆ

ประตูอ้าออก พร้อมสายตาของผมที่มองไปยังนอกบานประตู

เด็กสองคนที่เพิ่งจะเดินผ่านหน้าบ้านไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ตอนนี้มาเคาะประตูบ้านผม

ผมยืนนิ่งมองหน้าเจ้าเด็กสองคนนั้นให้ชัด ----- ไม่เห็นจะต่างอะไรกับคนทั่วไป

"เชิญ" ผมเป็นคนเปิดการสนนทนาและกล่าวต้อนรับก่อน
ทั้งคู่มองหน้ากัน และแสยะยิ้ม ก่อนที่จะกระโดดผ่านประตูเข้ามาในตัวบ้าน
"แต่ผมต้องบอกก่อนะ ผมรู้ว่าพวกคุณจะทำอะไรกับบ้านผมบ้าง" ผมพูดน้ำเสียงราบเรียบและเดินไปยังโซฟาตัวโปรด
เด็กทั้งสองเริ่มปฏิบัติการทำลายข้าวของในบ้านผม คนนึงยกแจกันแสนสวยของผมที่ซื้อมาจากต่างประเทศขึ้นเหนือหัว พร้อมโยนลงพื้นลายปาร์เก้ สายตาของผมจับอยู่ที่แจกันใบนั้น
เพล้ง !!! ------ ผมได้ยินเสียงนั้นชัดเต็มสองหู

พลันหันไปมองเด็กอีกคนหนึ่งที่กำลังคว้าไม้กวาดฟาดไปที่รูปถ่ายครอบครัวเมื่อสมัยผมเด็กๆ กรอบรูปเหล่านั้นกระเด็นลอยติดตามไว้กวาดนั่น ทั้งคู่วิ่งไปที่ตู้เย็น แอ๊ปเปิ้ลที่ผมชอบกินกำลังสุกได้ที่ ----- ผมคิดว่ามันคงจะหวานน่าดู ------ แอ๊ปเปิ้ลลูกนั้นลอยผ่านปลายหูผมไปเพียงไม่กี่นิ้วก่อนจะทะลุกระจกหน้าต่างด้านหลัง

ผมเอนตัวนอนบนโซฟาดูเจ้าเด็กสองคนนั้นทำลายข้าวของเครื่องใช้ที่ผมเก็บถนอมมานานนับปี บางชิ้นก็ 7-8 ปี การ์ดดราก้อนบอลที่สะสมมาตั้งแต่ขนม โอ เดง ย่า ขายซองละ 5 บาท พวกมันเอามาฉีกซะเรียบ นาฬิกาที่พ่อของผมซื้อให้เป็นรางวัลตอนทำเกรดเฉลี่ยได้ 4.00 ตอนนี้หน้าปัดแตกละเอียดกระจายอยู่เต็มตามพื้นบ้าน ตู้เสื้อผ้าของผมล้มระเนระนาด เสื้อทีมบาสโรงเรียนและเหรียญรางวัลการแข่งขันที่ผมภูมิใจ ขณะนี้ขาดวิ่นและบิดเบี้ยวไปจนจำสภาพแทบไม่ได้

นาฬิกา ----- 16.38 น. เวลาตอนนี้ผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้วที่เจ้าเด็กสองคนนี้เข้ามาทำลายข้าวของในบ้านของผม

"เอ้า ออกไปได้แล้วล่ะ" ผมพูดพร้อมกับเดินเข้าไปลูบหัวเจ้าเด็กคนหนึ่งที่กำลังเอาไม้เบสบอลทุบโทรทัศน์อย่างเมามันส์
เด็กคนนั้นหยุด แล้วมองหน้าผม
"เดี๋ยวผมจะต้องออกไปข้างนอกน่ะ อีกอย่าง... มันหนวกหู"
เด็กคนเดิม ยังจ้องมองหน้าผมไม่ละสายตา ส่วนเด็กอีกคนนึงพอได้ยินว่าเพื่อนหยุดทำลาย จึงหยุดตามและเดินมามองหน้าผมเช่นกัน
ผมยิ้มมุมปาก พร้อมทั้งจูงเด็กทั้งสองเดินไปที่ประตู ทั้งคู่เดินตามมาอย่างว่าง่าย

"แล้วพบกันใหม่" นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ผมพูดกับทั้งสอง ก่อนที่เขาจะวิ่งเข้าไปถล่มบ้านประตูสีชมพู รั้วสีขาว หลังเดิม

ผมปิดประตูเดินเข้ามาในบ้าน มองไปที่นาฬิกา ---- 16.45 น. ----- ยังพอมีเวลาเหลืออยู่
รายการโปรดของผมเพิ่งจะเริ่มฉายไป 10 นาที ผมเกือบลืมเสียสนิท และไม่รอช้ารีบคว้ารีโมทเปิดโทรทัศน์ ขณะเดินไปเตรียมของเพื่อที่จะออกไปทำธุระ ผมเดินผ่านรูปภาพครอบครัวที่อยู่ในกรอบไม้ ผ่านแจกันที่ผมซื้อมาตอนไปเที่ยวเมืองจีนกับคุณย่า ผ่านประตูกระจกบานใหญ่ที่มีของตกแต่งบ้านอยู่มากมาย ผมเปิดประตูตู้เสื้อผ้าที่ตั้งอยู่ริมห้องออก นำเสื้อทีมบาสของโรงเรียนยัดใส่กระเป๋า เปิดลิ้นชักเอากระเป๋าสตางค์ พร้อมทั้งหยิบกุญแจบ้านที่ถูกการ์ดดราก้อนบอลทับอยู่ แอ๊ปเปิ้ลที่ผมหยิบมาจากตู้เย็นนั้นหวานอย่างที่ผมคิดจริงๆ ซะด้วย

17.00 น. บนนาฬิกาข้อมือที่พ่อผมซื้อให้บอกว่ายังงั้น ---- ถึงเวลานัด ---- ผมยังไม่อยากลุกจากโทรทัศน์นี่ไปเลย รายการวันนี้น่าสนใจและสนุกจริงๆ แต่ก็ต้องจำใจอย่างช่วยไม่ได้ ผมปิดโทรทัศน์ ปิดหน้าต่าง และเตรียมตัวออกจากบ้าน

กริ้งงง !! เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
ผมเดินเข้าบ้านมารับสายพร้อมรองเท้าผ้าใบที่ใส่เรียบร้อย
ปลายสาย เป็นคนเดียวกับเมื่อสองชั่วโมงก่อน การสนทนาเป็นไปอย่างราบเรียบพร้อมกับน้ำตาของผม
ไม่นานนักก็จบการสนทนา และผมก็ออกเดินทางไปสู่ที่นัดหมาย

เพล้ง !!! กระจกใสบนหน้าต่างบานโปรด ที่ผมนั่งมองผ่านมันประจำแตกละเอียด
ผมมองภาพนั้นอย่างนิ่งเงียบ
ผมเริ่มออกเดินทางไปสู่ที่นัดหมายต่อ พร้อมทั้งนึกในใจเกี่ยวกับชื่อของเด็กทั้งสองนั่น ขณะเดียวกันกับที่ผมเดินผ่านบ้านประตูสีชมพู รั้วสีขาว ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งร้องไห้ท่ามกลางเสียงโครมครามที่มาจากตัวบ้าน ข้าวของแตกกระจาย --- แน่นอนว่าเป็นฝีมือของเจ้าเด็กสองคนนั้น ตอนนี้มันอยู่ในบ้านนั้น บ้านประตูสีชมพู รั้วสีขาว ------ บ้านของอดีตคนรักของผม คนที่เพิ่งเป็นคนปลายสายของผมเมื่อซักครู่

ผมเดินผ่านบ้านนั้นไปช้าๆ
ในที่สุดผมก็คิดออก ว่าเจ้าเด็กสองคนนั้นมันชื่อ

" ความทุกข์ กับ ความสุข" นี่เอง

นาฬิกาข้อมือที่พ่อผมซื้อให้ตอนนี้ชี้เวลาที่ 17.17 น. ไฟถนนกระพริบและเริ่มฉายแสงสว่าง
----- พระอาทิตย์หน้าหนาวช่างลับขอบฟ้ารวดเร็วเสียจริง

17.23 น.

ผมเดินข้ามถนน และหายไปจากโลกของเด็กสองคนนี้อย่างถาวร

----- บ้านของพ่อและแม่ผม รวมถึงบ้านประตู้สีชมพู โดนเด็กสองคนนั้นทำลายซะไม่เหลือชิ้นดี
----- รวมถึงแจกันของผมด้วย



นอกเรื่อง : เอาเรื่องที่เคยเขียนเก่าๆ มาลงไว้ที่นี่มั่ง ไม่ต้องงงว่าทำไมวันนึงมันอัพขึ้นมาเยอะจังวะ งานเก่าเล่าใหม่ครับท่าน! เรื่องนี้เขียนเมื่อโคตรหลายเดือนก่อน จำวันไม่ได้-----บอกแค่นี้ล่ะครับ จบ!