Sunday, March 25, 2007

คิด(ส์)

14.33 น.

ผมนั่งอยู่บนโซฟาสีน้ำเงินเข้มในบ้าน พลางมองออกไปนอกหน้าต่างที่อยู่ใกล้จมูกไม่ถึงหนึ่งเมตร
มือของผมขยับช้อนวนไปมาในถ้วยชาที่มีโอวัลตินร้อนรินอยู่เต็ม ไอร้อนที่ออกมาจากถ้วยทำสันมือของผมร้อนไม่ใช่เล่น

ผมเหม่อมองออกไปยังบ้านฝั่งตรงข้ามที่เรียงรายอยู่เป็นทิวแถว
ที่บ้านฝั่งตรงข้าม ประตูสีชมพู รั้วสีขาว สนามหญ้าเขียวขจี ดูสวยสะอาดตา อยากจะมีบ้านอย่างนี้บ้าง---ผมคิดในใจ

เพล้ง !!!
กระจกบ้านหลังสวยที่ผมหวังว่าอยากจะครอบครองแตกออก พร้อมเสียงโฮของหญิงสาวเจ้าของบ้านที่ผมคุ้นเคย ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของเด็กสองคน---ที่ผมคุ้นเคยเช่นเดียวกัน

เจ้าเด็กสองคนนั้นวิ่งออกมาจากบ้านประตูสีชมพูรั้วสีขาว และวิ่งไปยังบ้านต่อไป

เพล้ง !! ปัง !!! ตูม !
ทั้งสองเที่ยวเล่นพังข้าวของอย่างสนุกสนานด้วยเสียงหัวเราะร่าเริง

บรรดาผู้เคราะห์ร้ายที่ประสบกับความวุ่นวายของเจ้าเด็กน้อยทั้งสอง หลายคนเจ็บตัว ได้แผล-เสียเลือด บางคนโชคดีหน่อยก็แค่ฟกช้ำ และทรัพย์สินเสียหาย แต่กับบางคนที่ไม่ได้เสียแค่นั้น ภัยร้ายของเจ้าเด็กทั้งสองบางครั้งทำลายชีวิตชาวบ้านบางคน

ผมเคยเห็นตำรวจ นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา และหลากหลายอาชีพ เดินผ่านหน้าบ้านผมไปยังที่ๆ เด็กสองคนนั้นอยู่ หวังจะปราบให้อยู่หมัด แต่ไม่นานนักก็โดนทั้งคู่ไล่รังแกกลับมาทุกคน ไม่เคยเห็นใครสยบเจ้าพวกนั้นได้

เท่าที่ผมจำความได้ ไอ้เด็ก(เปรต)สองคนนี้ไล่รังแกคนแถวนี้มานาน ตั้งแต่ตอนที่ผมมานั่งมองเหตุการณ์หน้าบ้านผ่านหน้าต่างบานนี้ ย้อนกลับไปซัก 7-8 ปี ตอนนั้นเกเรยังไง-ตอนนี้ก็ยังคงเป็นยังงั้นไม่เปลี่ยนแปลง จำได้ลางๆ ว่าพวกนั้นเคยเข้ามาที่บ้านผมบ้างเหมือนกัน แต่ผมยังเด็กเหลือเกิน เกินที่จะเปิดประตูต้อนรับได้ ตอนนั้นพวกเขาก็นิสัยดีนะเหมือนกันนะ ที่ไม่ได้พังบ้านเข้ามา แต่กลับไปพังอีกบ้านนึงแทน----แต่ก็ไม่แปลก

มีบางบ้านไม่กลัวพวกมัน เมื่อมันวิ่งเข้าบ้านไปเจ้าของบ้านก็ปล่อยให้มันเล่นซน ไม่นานเจ้าเด็กสองคนนั้นก็เดินออกมา ด้วยท่าทีร่าเริงเหมือนเดิม ----- บางบ้าน แค่เห็นหน้าพวกมัน ก็ก้มลงกราบกรานขับไล่ แต่มันทั้งคู่ก็เดินข้ามหัวที่กราบนั่นแหละ เข้าไปพังข้าวของซะพังยับเยิน

เด็กสองคนนี้สนุกสนานกับการทำลายและรักการก่อกวนเป็นชีวิตจิตใจ

ผมนั่งมองทั้งคู่จนวิ่งไปสุดลับตา ไปยังบ้านที่ผมมองไม่เห็น ผมซดโอวัลตินที่เย็นชืดจนหมดถ้วย วินาทีเดียวกันโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
----- ปลายสายต้องการจะสนทนากับผม ...

เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังจากการสนทนาเงียบๆระหว่างผมและคนปลายสาย
ผมวางหูโทรศัพท์ลงช้าๆ พร้อมกับถอนหายใจอย่างเนือยๆ คิดทบทวนไปกับบทสนทนาเมื่อครู่

ปังๆๆๆๆ !!!
เสียงเคาะประตูหน้าบ้านของผม ... ฟังดูไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย ใครที่ไหนเขาเคาะประตูกัน ปังๆๆๆๆ แบบนี้ ------ ผมนึกในใจขณะที่รีบเดินไปเปิดประตูบ้านต้อนรับแขกผู้ซึ่งเป็นเจ้าของเสียงเคาะประตูจังหวะแปลกๆ

ประตูอ้าออก พร้อมสายตาของผมที่มองไปยังนอกบานประตู

เด็กสองคนที่เพิ่งจะเดินผ่านหน้าบ้านไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ตอนนี้มาเคาะประตูบ้านผม

ผมยืนนิ่งมองหน้าเจ้าเด็กสองคนนั้นให้ชัด ----- ไม่เห็นจะต่างอะไรกับคนทั่วไป

"เชิญ" ผมเป็นคนเปิดการสนนทนาและกล่าวต้อนรับก่อน
ทั้งคู่มองหน้ากัน และแสยะยิ้ม ก่อนที่จะกระโดดผ่านประตูเข้ามาในตัวบ้าน
"แต่ผมต้องบอกก่อนะ ผมรู้ว่าพวกคุณจะทำอะไรกับบ้านผมบ้าง" ผมพูดน้ำเสียงราบเรียบและเดินไปยังโซฟาตัวโปรด
เด็กทั้งสองเริ่มปฏิบัติการทำลายข้าวของในบ้านผม คนนึงยกแจกันแสนสวยของผมที่ซื้อมาจากต่างประเทศขึ้นเหนือหัว พร้อมโยนลงพื้นลายปาร์เก้ สายตาของผมจับอยู่ที่แจกันใบนั้น
เพล้ง !!! ------ ผมได้ยินเสียงนั้นชัดเต็มสองหู

พลันหันไปมองเด็กอีกคนหนึ่งที่กำลังคว้าไม้กวาดฟาดไปที่รูปถ่ายครอบครัวเมื่อสมัยผมเด็กๆ กรอบรูปเหล่านั้นกระเด็นลอยติดตามไว้กวาดนั่น ทั้งคู่วิ่งไปที่ตู้เย็น แอ๊ปเปิ้ลที่ผมชอบกินกำลังสุกได้ที่ ----- ผมคิดว่ามันคงจะหวานน่าดู ------ แอ๊ปเปิ้ลลูกนั้นลอยผ่านปลายหูผมไปเพียงไม่กี่นิ้วก่อนจะทะลุกระจกหน้าต่างด้านหลัง

ผมเอนตัวนอนบนโซฟาดูเจ้าเด็กสองคนนั้นทำลายข้าวของเครื่องใช้ที่ผมเก็บถนอมมานานนับปี บางชิ้นก็ 7-8 ปี การ์ดดราก้อนบอลที่สะสมมาตั้งแต่ขนม โอ เดง ย่า ขายซองละ 5 บาท พวกมันเอามาฉีกซะเรียบ นาฬิกาที่พ่อของผมซื้อให้เป็นรางวัลตอนทำเกรดเฉลี่ยได้ 4.00 ตอนนี้หน้าปัดแตกละเอียดกระจายอยู่เต็มตามพื้นบ้าน ตู้เสื้อผ้าของผมล้มระเนระนาด เสื้อทีมบาสโรงเรียนและเหรียญรางวัลการแข่งขันที่ผมภูมิใจ ขณะนี้ขาดวิ่นและบิดเบี้ยวไปจนจำสภาพแทบไม่ได้

นาฬิกา ----- 16.38 น. เวลาตอนนี้ผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้วที่เจ้าเด็กสองคนนี้เข้ามาทำลายข้าวของในบ้านของผม

"เอ้า ออกไปได้แล้วล่ะ" ผมพูดพร้อมกับเดินเข้าไปลูบหัวเจ้าเด็กคนหนึ่งที่กำลังเอาไม้เบสบอลทุบโทรทัศน์อย่างเมามันส์
เด็กคนนั้นหยุด แล้วมองหน้าผม
"เดี๋ยวผมจะต้องออกไปข้างนอกน่ะ อีกอย่าง... มันหนวกหู"
เด็กคนเดิม ยังจ้องมองหน้าผมไม่ละสายตา ส่วนเด็กอีกคนนึงพอได้ยินว่าเพื่อนหยุดทำลาย จึงหยุดตามและเดินมามองหน้าผมเช่นกัน
ผมยิ้มมุมปาก พร้อมทั้งจูงเด็กทั้งสองเดินไปที่ประตู ทั้งคู่เดินตามมาอย่างว่าง่าย

"แล้วพบกันใหม่" นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ผมพูดกับทั้งสอง ก่อนที่เขาจะวิ่งเข้าไปถล่มบ้านประตูสีชมพู รั้วสีขาว หลังเดิม

ผมปิดประตูเดินเข้ามาในบ้าน มองไปที่นาฬิกา ---- 16.45 น. ----- ยังพอมีเวลาเหลืออยู่
รายการโปรดของผมเพิ่งจะเริ่มฉายไป 10 นาที ผมเกือบลืมเสียสนิท และไม่รอช้ารีบคว้ารีโมทเปิดโทรทัศน์ ขณะเดินไปเตรียมของเพื่อที่จะออกไปทำธุระ ผมเดินผ่านรูปภาพครอบครัวที่อยู่ในกรอบไม้ ผ่านแจกันที่ผมซื้อมาตอนไปเที่ยวเมืองจีนกับคุณย่า ผ่านประตูกระจกบานใหญ่ที่มีของตกแต่งบ้านอยู่มากมาย ผมเปิดประตูตู้เสื้อผ้าที่ตั้งอยู่ริมห้องออก นำเสื้อทีมบาสของโรงเรียนยัดใส่กระเป๋า เปิดลิ้นชักเอากระเป๋าสตางค์ พร้อมทั้งหยิบกุญแจบ้านที่ถูกการ์ดดราก้อนบอลทับอยู่ แอ๊ปเปิ้ลที่ผมหยิบมาจากตู้เย็นนั้นหวานอย่างที่ผมคิดจริงๆ ซะด้วย

17.00 น. บนนาฬิกาข้อมือที่พ่อผมซื้อให้บอกว่ายังงั้น ---- ถึงเวลานัด ---- ผมยังไม่อยากลุกจากโทรทัศน์นี่ไปเลย รายการวันนี้น่าสนใจและสนุกจริงๆ แต่ก็ต้องจำใจอย่างช่วยไม่ได้ ผมปิดโทรทัศน์ ปิดหน้าต่าง และเตรียมตัวออกจากบ้าน

กริ้งงง !! เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
ผมเดินเข้าบ้านมารับสายพร้อมรองเท้าผ้าใบที่ใส่เรียบร้อย
ปลายสาย เป็นคนเดียวกับเมื่อสองชั่วโมงก่อน การสนทนาเป็นไปอย่างราบเรียบพร้อมกับน้ำตาของผม
ไม่นานนักก็จบการสนทนา และผมก็ออกเดินทางไปสู่ที่นัดหมาย

เพล้ง !!! กระจกใสบนหน้าต่างบานโปรด ที่ผมนั่งมองผ่านมันประจำแตกละเอียด
ผมมองภาพนั้นอย่างนิ่งเงียบ
ผมเริ่มออกเดินทางไปสู่ที่นัดหมายต่อ พร้อมทั้งนึกในใจเกี่ยวกับชื่อของเด็กทั้งสองนั่น ขณะเดียวกันกับที่ผมเดินผ่านบ้านประตูสีชมพู รั้วสีขาว ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งร้องไห้ท่ามกลางเสียงโครมครามที่มาจากตัวบ้าน ข้าวของแตกกระจาย --- แน่นอนว่าเป็นฝีมือของเจ้าเด็กสองคนนั้น ตอนนี้มันอยู่ในบ้านนั้น บ้านประตูสีชมพู รั้วสีขาว ------ บ้านของอดีตคนรักของผม คนที่เพิ่งเป็นคนปลายสายของผมเมื่อซักครู่

ผมเดินผ่านบ้านนั้นไปช้าๆ
ในที่สุดผมก็คิดออก ว่าเจ้าเด็กสองคนนั้นมันชื่อ

" ความทุกข์ กับ ความสุข" นี่เอง

นาฬิกาข้อมือที่พ่อผมซื้อให้ตอนนี้ชี้เวลาที่ 17.17 น. ไฟถนนกระพริบและเริ่มฉายแสงสว่าง
----- พระอาทิตย์หน้าหนาวช่างลับขอบฟ้ารวดเร็วเสียจริง

17.23 น.

ผมเดินข้ามถนน และหายไปจากโลกของเด็กสองคนนี้อย่างถาวร

----- บ้านของพ่อและแม่ผม รวมถึงบ้านประตู้สีชมพู โดนเด็กสองคนนั้นทำลายซะไม่เหลือชิ้นดี
----- รวมถึงแจกันของผมด้วย



นอกเรื่อง : เอาเรื่องที่เคยเขียนเก่าๆ มาลงไว้ที่นี่มั่ง ไม่ต้องงงว่าทำไมวันนึงมันอัพขึ้นมาเยอะจังวะ งานเก่าเล่าใหม่ครับท่าน! เรื่องนี้เขียนเมื่อโคตรหลายเดือนก่อน จำวันไม่ได้-----บอกแค่นี้ล่ะครับ จบ!

1 comment:

Anonymous said...

เราชอบเรื่องนี้มาก อยากจะบอกว่าเราอ่านแล้วอินกะมันนึกว่าเรื่องจิงอะ เขียนมาได้ไงเนี่ยย ขอคารวะให้เลยท่านแบงค์ เขียนได้ดีมากๆ อีกอย่างเป็นเรื่องแรกเลยมั้งที่เราได้อ่านอะ ขอยกนิ้วให้จิงๆ อิอิ แล้วจะติดตามผลงานต่อไปเรื่อยๆเน้ออ สู้ๆ