Saturday, March 31, 2007

space for _____.

เด็กห้องคิงส์, ผมเคยเป็นอคติกับเด็กที่ถูกจัดกลุ่มไว้ในประเภทนี้ครับ เพราะเป็นไปตามธรรมชาติที่เด็กห้องรั้งท้ายจะต้องเกลียด-ดูถูกผู้ที่ติ๋มกว่า หรืออีกนัยหนึ่งจะว่าอิจฉาก็ได้ครับ ที่พวกเขาเหนือกว่า-เก่งกว่าไปซะทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องเรียน

ห้องที่ผมอยู่มาตลอด 3 ปีช่วงเรียนมัธยมเป็นห้องเรียนสาย ศิลป์-ทั่วไป ไม่ต้องคิดมากครับว่ามันเรียนอะไรกัน เอาเป็นว่ามันเป็นห้องที่เด็กเรียนห่วยแตกรวมตัวกันอยู่อย่างหนาแน่นแล้วกัน ขณะนั้นผมแทบจำไม่ได้ว่ามีเพื่อนอยู่ห้องคิงส์บ้างหรือเปล่า เพราะเท่าที่จำได้ฉลาดสุดก็จะเป็นห้องที่เรียนศิลป์-ภาษา พวกวิทย์-คณิตนี่ยังไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่ในเมมโมร

ไม่ใช่ว่าไม่คบกับเขาครับ แต่เหมือนว่าช่วงนั้นมันเป็นความแตกต่างระหว่างสองขั้วที่ดูแล้วจะไปด้วยกันไม่ได้ เด็กที่บ้าเรียนอย่างเด็กห้องคิงก็จะมีบุคลิกที่โดดเด่นอย่างเหมือนกันแทบทุกคนคือ แต่งตัวถูกระเบียบ, หน้าตาเรียบร้อย, กระเป๋าหนา, ใส่แว่น, พูดหยาบแบบเบาเบา, เล่นอะไรที่มันสร้างสรรค์, ในสมัยนี้คงเรียกรวมๆว่า 'เนิร์ดๆ'

กลับมาดูที่พวกผม, หน้าตาผิดระเบียบ, แต่งตัวผิดระเบียบ, กระเป๋าแบนแฟ่บ, พูดจาหยาบอย่างโฉ่งฉ่าง, เล่นอะไรที่มันมอมเมาและไร้สาระ, ในสมัยไหนเขาก็เรียกพวกเด็กเกเร

ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่มันกลายเป็นสองฝั่งกันอย่างถาวร พาลทำให้ไม่ชอบหน้าและมีการดูถูกกันเกิดขึ้น

เด็กห้องคิงส์ก็ดูถูกเด็กห้องบ๊วยว่า "พวกมึงก็ได้แค่กร่าง ใช้สมองไม่เป็น"
เด็กห้องบ๊วยก็ดูถูกเด็กห้องคิงส์ว่า "พวกมึงก็ได้แค่เรียน ใช้ชีวิตไม่เป็น"

ผมก็เคยคิดอย่างที่เด็กห้องบ๊วยเป็น แต่เท่าที่ผมผ่านชีวิต ม.ปลาย มาแล้วกว่า 4 ปี มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมได้ตาสว่างขึ้น
เด็กห้องคิงส์เรียนดีที่ผมเห็นในวันนั้น วันนี้กลายเป็นพวกติดเหล้า สูบบุหรี่ และทำหลายสิ่งอย่างที่เด็กห้องบ๊วยสมัยนั้นทำ บางคนยังเรียนไม่จบและออกไปทำตัวเละเทะ และยิ่งบางคนที่พลาดหวังกับการเอนท์ทรานซ์ก็ยังจิตใจล้มเหลวจนเป็นอันไม่ทำอะไรอีกต่างหาก แถมยังมีอีกช่วงหนึ่งที่มีข่าวเกี่ยวกับนักวิชาการ-แพทย์-อาชีพต่างๆ ที่ดูแล้วฉลาดจะมีปัญหาทางจิตมากกว่าใครเพื่อน
ส่วนเด็กเรียนห้องบ๊วยเรียนเลวในวันนี้ เพื่อนผมบางคนเรียนดีซะจนพวกห้องคิงส์มาเห็นยังต้องอาย บางคนได้ดิบได้ดีจนทำการทำงานกันก่อนหน้าเพื่อนหลายคน บางคนก็ผ่านประสบการณ์ชีวิตที่กลายสภาพมาเป็นแนวคิดอันยอดเยี่ยมต่อการพัฒนาสังคมได้
เพราะสังคมแวดล้อมที่เขาผ่านมาตลอดเวลาที่เขาใช้ชีวิต รวมถึงช่วงที่อยู่ในห้องบ๊วยนี่ด้วย หรือกับคนที่มีชื่อเสียงบางคน เขาโด่งดังและเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในศาสตร์ต่างๆ ได้โดยที่ไม่ต้องเป็นคนที่อยู่ในห้องเรียนซึ่งเต็มไปด้วยเด็กเรียนมาก่อนด้วยซ้ำ

ยิ่งได้คิดผมยิ่งแน่ใจว่า มันช่างเชื่ออะไรไม่ได้เลย
คนเราจะเป็นอย่างที่ถูกตัดสินไปในช่วงใดช่วงหนึ่งได้อย่างไรกัน?
เส้นทางชีวิตของมนุษย์มันหันเหได้ทุกทางภายในเสี้ยววินาทีแห่งความคิดและสำนึก
คนดีคิดจะชั่วก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องข้ามคืน
คนชั่วคิดจะดีก็ทำได้โดยไม่ต้องข้ามวันเช่นเดียวกัน
ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจว่าอย่างนั้น

คิงส์แล้วไง? บ๊วยแล้วไง?, นี่คือสิ่งที่ผมคิดได้
เก่งแล้วไง-อ่อนแล้วไง?, นี่ด้วย

ว่าแต่ ใครกำหนดว่า คิงส์คือผู้ยิ่งใหญ่? เก่งคือคนที่น่านับถือ? บ๊วยคือคนห่วย? อ่อนคือคนแย่?
ไม่ใช่ 'ใจ' ของมนุษย์หรอกเหรอครับ?

ถามมนุษย์ทุกผู้
จะเก่งไปทำไมครับ?

Sunday, March 25, 2007

เพื่อนร่วมห้อง


ผมนั่งหันหลังให้ประตูในห้องที่บุด้วยไม้สีน้ำตาลอ่อน-เข้มเรียงราย คะเนความกว้างของห้องนี้ด้วยสายตาแล้วก็คงพอที่จะวางเพียงแค่เตียงและโต๊ะอย่างละตัว แต่ตอนนี้มันไม่มีทั้งโต๊ะ เตียงหรือตู้อยู่สักตัว ตรงข้ามประตูไม้สีแดงเข้ม มีหน้าต่างอยู่บานหนึ่ง กรอบสีน้ำเงินอมความชื้นอยู่เต็มแผ่น กระจกที่ติดอยู่ในหน้าต่างนั้นดูแล้วน่าจะขาดการทำความสะอาดมานานพอตัว จึงมีคราบสีน้ำตาลจากความชื้นและร่องรอยความสกปรกเกาะอยู่อย่างเหนียวแน่นใช้ได้ ลมเย็นจากอากาศที่หนาวเหน็บข้างนอกนั้นพัดผ่านเข้ามาจากหน้าต่างที่แง้มเปิดอยู่หนึ่งทาง และช่องใต้ประตูด้านหลังผมอีกหนึ่งทาง


พื้นไม้ของห้องเต็มไปด้วยความชื้น หลักฐานคือแผ่นไม้ที่เริ่มถลอกปอกเปิกและบวมจนแตกผลิเพราะความเย็นเหล่านั้น ลูกบิดประตูก็ไม่ต่างกันที่เย็นเฉียบเพราะอากาศในฤดูกาลอันหนาวเหน็บนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติยังเมตตา ยังกรุณาส่งแสงแรงร้อนผ่าวเข้าผ่านกรอบหน้าต่างตรงมากลางห้อง บริเวณที่ผมนั่งอยู่พอดี


ใช่ ผมนั่งอยู่กลางห้องอันหนาวเหน็บและเผชิญหน้ากับแสงแดดอันร้อนแรง แต่..


ผมไม่รู้สึกว่าร้อน


ผมไม่รู้สึกว่าหนาว


ผมอยู่ในห้องนี้มานานแสนนาน ก่อนที่พ่อ-แม่และคนอื่นๆ ในครอบครัวจะย้ายออกไป ปล่อยให้ผมอยู่ที่นี่เพียงลำพัง อย่างไรก็ตาม ผมมีความสุขที่ได้อยู่ในห้องแห่งนี้ตามที่ตัวเองต้องการ ----- ครอบครัวผมคงรู้ว่าผมต้องการอะไร


ในห้องแห่งนี้ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เขาชื่ออะไรผมไม่ทราบแน่ชัดเพราะเราไม่เคยคุยกันมาก่อน แต่จำได้ว่าเขาเข้ามาในห้องนี้ผ่านช่องใต้ประตูอย่างเงียบเชียบก่อนที่จะตั้งหลักปักฐานอยู่ที่มุมเพดานด้านขวาบน ผมเห็นทุกปฏิกิริยาของเขาตั้งแต่เข้ามาในห้อง จนกระทั่งปีนขึ้นมุมห้องและจัดแจงทอดใยเป็นรูปแปดเหลี่ยมซับซ้อนสวยงามและหลบไปหลับพักผ่อนอย่างสบายใจเมื่อจัดการสร้างที่พำนักในบ้านคนอื่นเสร็จ


ตลอดเวลาหลายวันผมเห็นแมลงหลายตัวที่บินลอดผ่านหน้าต่างกรอบสีน้ำเงินเข้มตรงหน้าไป แมลงเหล่านั้นบินฉวัดเฉวียนไปมารอบห้อง สร้างความรำคาญให้ผมพอสมควร แต่ไม่นานแมลงโง่พวกนั้นก็บินขึ้นไปติดใยใสเหนียวเหนอะของเพื่อนร่วมห้องของผมจนขยับไปไหนต่อไหนไม่ได้อีกต่อไป ------ เมื่อผมรู้สึกตัวอีกทีแมลงที่เคยติดอยู่บนนั้นก็หายไปเแล้ว เหลือเพียงปีกบางๆ ที่หลุดร่วงโรยรายอยู่ตามพื้นไว้ให้ดูต่างหน้าเท่านั้น


กิจวัตรของเพื่อนร่วมห้องของผมผู้นี้เป็นไปอย่างเรียบง่าย ทอดใยเพื่อรอเหยื่อมาติดกับ แล้วก็รับกินๆๆ แมลงเหล่านั้นเปรมปรีไปวันๆ เขาคงเกลียดอากาศหนาวจึงไม่อยากออกไปข้างนอก แต่ก็มีบ้างที่เขาเดินออกไปทางช่องใต้ประตูและหายไป แต่ไม่นานเขาก็กลับมาที่เดิม


ห้องที่เคยสะอาดสะอ้านของผม ขณะนี้เต็มไปด้วยเส้นใยบางๆ สีเทาอ่อนโยงไปมารอบเพดานห้อง บางครั้งเส้นใยเหล่านั้นก็ร่วงหล่นมาสู่พื้นและปลิวว่อนไปมาในอากาศของห้องแคบๆ นี้ แต่ผมไม่ได้ตำหนิหรือบ่นอะไรกับเขาสักคำ ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่คิดจะปรับปรุงอะไรด้วยเช่นเดียวกัน


เวลาผ่านไปหลายอาทิตย์ เช้าวันหนึ่งมีผีเสื้อสีสวยบินลอดหน้าต่างกรอบสีน้ำเงินเข้ามาในห้อง กรีดกรายปีกสีชมพูอมม่วงขึ้นลงไปมาอย่างมีจังหวะ ดูร่าเริงแจ่มใสและกำลัง_ตื่นเต้นกับความอิสระเสรีที่มาพร้อมปีกอันสวยงาม เธอขยับปีกพริ้วไปมาเกาะตรงโน้นที-ตรงนี้ทีรอบห้องสีน้ำตาลอ่อน-เข้มแคบๆ นี้


ผีเสื้อปีกสวยโบยบินสำรวจจนเกือบครบทุกตารางนิ้วของห้องจนกระทั่งถึงมุมห้องมุมหนึ่ง ผีเสือสาวผู้โชคร้ายก็ผ่านไปเจอใยแมงมุมสีใสที่เต็มไปด้วยความเหนียว ปีกที่สวยงามขณะนี้ขยับไม่เป็นจังหวะและร้อนรนเพราะถูกพันธนาการด้วยเส้นใยของเพื่อนร่วมห้องของผม ผีเสื้อพยายามดิ้นเพื่อทวงความอิสระ หากแต่เส้นใยเหล่านั้นยิ่งรัดตัวของเธอแน่นยิ่งขึ้นไปอีก จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เธอก็หมดแรงที่จะต่อสู้กับเส้นใยที่แมงมุมทอดไว้ และรู้ดีว่านี่คืออะไรที่เรียกว่าใยแมงมุม และยังรู้ตัวอีกด้วยว่าคงไม่รอดจากเงื้อมมือของเจ้าของเส้นใยเหล่านี้แน่ หลังจากที่ดึงดันดิ้นด้นเพื่อเอาชีวิตรอดมายาวนาน ผีเสื้อปีกสวยก็หมดแรงที่จะทำอะไรต่อและผลอยหลับไปในที่สุด


แมงมุมเคลื่อนตัวจากมุมห้องหนึ่งเพื่อตรวจตราว่ามีเหยื่อติดอยู่ที่ใดของใยบ้าง เขาเดินไปมาอย่างใจเย็น จนมาถึงมุมห้องหนึ่ง และพบว่าตัวเองได้เหยื่อที่สวยงาม-ประหลาดตาที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ ปีกสีชมพูอมม่วงเป็นประกาย ถึงแม้จะถูกพันธนาการด้วยใยแมงมุมเหนียวใสก็ยังคงความสวยงามอยู่ แต่ตอนนี้เหยื่อตัวนี้กำลังหลับใหลเขาควรจะกินเธอตอนไหนกัน
---- แมงมุมครุ่นคิด


เมื่อผีเสื้อสาวตื่นขึ้น ก็ได้พบกับเพื่อนร่วมห้องหน้าตาดีของผม เพื่อนที่ตัวดำทมึน แปดขา กำลังจ้องเธอเขม็งจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ร้องให้ผู้อื่นช่วยทั้งที่ไม่มีใครสักคนอยู่ในห้องนี้ จะมีก็เพียงแต่แมลงด้วยกัน แน่นอนว่าแมลงเหล่านั้นก็ถูกจองจำด้วยใยแบบเดียวกันกับเธอ น้ำตาแห่งความหวาดกลัวกลั่นไหลเอ่อล้นมาจากสองตาผีเสื้อสาว พร้อมถ้อยคำอ้อนวอนขอชีวิตกับแมงมุมที่อยู่ตรงหน้าก่อนที่จะรู้ว่าเส้นใยที่เคยพันธนาการตนเองนั้น ได้ถูกปลดออกจนสิ้น ผีเสื้อจ้องมองแมงมุมอย่างไม่เข้าใจ


"ไปซะ"
แมงมุมเอ่ยเสียงต่ำ พร้อมย่างขาทั้งแปดขึ้นไปตามใยของเขาจากมุมห้องหนึ่งสู่อีกมุมห้องหนึ่ง


ผีเสื้อรีบขยับปีกจะบิน แต่โชคร้ายที่ปีกคู่สวยของเธอตอนนี้ไม่พร้อมแก่การโบยบินเสียแล้ว นั่นคงมาจากการดิ้นเอาตัวรอดอย่างรุนแรงเมื่อหลายขั่วโมงก่อน กว่าแผลจะหายและสามารถบินอย่างเดิมได้ก็คงต้องกินเวลาหลายวัน
------ 'ยังไงก็ตายอยู่ดี' เธอคิดด้วยความสิ้นหวัง


แมงมุมเห็นผีเสื้อไปไหนไม่ได้ เขารู้ว่าเธอเป็นแผลจนไม่สามารถบินได้ จึงบอกให้ผีเสื้ออยู่ที่รังของตนไปก่อน ผีเสื้อรีบปฏิเสธความปรารถนาดี และไม่คิดจะอยู่ต่อแม้แต่น้อย ดึงดันและยืนยันที่จะกลับรังของตนที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างให้ได้ ขณะเดียวกันเธอก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะออกไปข้างนอกนั้นได้โดยไม่มีปีก เพราะยังไงก็ไม่สามารถปีนกำแพงที่สูงขนาดนั้นได้ เธอแหงนมองขอบหน้าตาสูงลิบผ่านน้ำตา แมงมุมเห็นดังนั้นจึงเอ่ยปากว่า


ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเจ้า และจะปล่อยเจ้าไปหลังจากที่เจ้าหายดี
เสียงทุ้มต่ำนั้นทำให้ผีเสื้อดูยิ่งจะหวาดกลัวยิ่งขึ้น แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่นจึงยอมรับที่จะอยู่ในรังของแมงมุมต่ออย่างกล้ำกลืนฝืนทน


แมงมุมสร้างรังชั่วคราวให้กับเธอที่มุมห้องหนึ่ง ใช้ใบไม้สี่ใบวางบนเส้นใย คล้ายเปลยวนหรูหราที่ผมเคยเห็นในโทรทัศน์ ------ ผมจำได้ว่ามุมห้องตำแหน่งนี้เป็นมุมโปรดของเพื่อนร่วมห้องของผม


เวลาผ่านไปสองวัน ผีเสื้อสาวทำทีว่าจะไม่รอดเพราะอดอาหารมานาน แมงมุมเห็นท่าไม่ดีและไม่มีทางเลือก มองรอบตัวและมั่นใจว่าผีเสื้อไม่ชอบกินแมงหวี่หรือยุงลายแน่ จึงออกไปนอกหน้าต่างเพื่อหาอาหารให้กับผีเสื้อ เขาไม่เคยรู้ว่าผีเสื้อนั้นชอบกินอะไร แต่เคยเห็นพวกผีเสื้อตัวอื่นชอบตอมชอบดอมดมดอกไม้ จึงเดาอย่างมั่นใจว่าผีเสื้อชอบกินน้ำหวานที่มาจากดอกไม้แน่ๆ แต่กลับกัน เขาเกลียดของเหลวหวานๆ แบบนี้เสียยิ่งกว่าทุกสิ่ง เขารู้สึกว่าของหวานจะทำให้ปากของเขาแห้งผากจนทานอะไรไม่ได้ ------ ผีเสื้อพวกนี้กินน้ำหวานพวกนี้เข้าไปได้ยังไงเนี่ย ---- แมงมุมคิดไปขณะที่ยืนอยู่บนกลีบดอกไม้สีชมพู


คืนนั้นผีเสื้อสาวอิ่มเอมน้ำหวานที่แมงมุมตักตวงนำมาให้จากนอกหน้าต่าง และวันต่อๆ มาเธอก็ได้รับน้ำหวานต่างชนิดกันทุกวันจากเขา ปริมาณน้ำหวานที่แมงมุมหามาให้ผีเสื้อ มากกว่าที่เธอจะสามารถหาเองได้ในแต่ละวันเสียอีก


หลายวันต่อมาขณะที่แมงมุมกำลังจะปลิดชีพเหยื่ออันโอชะซึ่งมาติดใยของเขา วันนี้อาหารเป็นเนื้อแมลงหวี่ขนาดกลาง เขาจำได้ติดลิ้นดีว่าเนื้อของมันหอมหวานขนาดไหน วินาทีเดียวกันแมงมุมก็เห็นว่าผีเสื้อสาวมองเขาด้วยความหวาดกลัวอย่างที่เจอกันในวันแรก ตัวของเธอสั่นเทาพร้อมกับหลบสายตาของเขาอย่างลุกลี้ลุกลน


แมลงหวี่ไซส์เอ็มตัวนั้นร่วงหล่นสู่พื้นห้อง


ห้าวันต่อมา เส้นใยในห้องของผมเต็มไปด้วยแมลงนานาพันธุ์ ปกติแล้วพวกมันจะอยู่กับที่ไม่นานนักก่อนที่เพื่อนร่วมห้องของผมจะมาจัดการ เวลานี้เขาทิ้งตัวนอนหลับอยู่ใกล้กับผีเสื้อ กิจวัตรของเขาเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนเช้าที่ต้องเร่งรีบออกไปหาน้ำหวานเพื่อนำมาให้กับผีเสื้อสาว รวมถึงวันนี้ที่เขาไม่ค่อยทอดใยใหม่ๆ เสียเท่าไหร่ ทำให้ผมอดดูศิลปะการสานใยของเขาไปโดยปริยาย


ความหนาวเหน็บในฤดูหนาวเหิมเกริมขึ้นทุกวัน ผมรู้สึกว่าความชื้นในห้องแห่งนี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะลมเย็นที่ผ่านมาใต้ช่องประตู ทำเอาแมงมุมหนาวเข้ากระดูก แต่ผีเสื้อกลับอบอุ่นเพราะเธอไม่โดนลมแม้แต่น้อย ไม่นานนักอาการของเธอก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เธอเริ่มขยับปีกไปมาได้คล่องแคล่วขึ้นทุกวัน ปีกที่เคยขาดแหว่ง ตอนนี้อาการดีขึ้นจนแทบจะเหมือนเดิม ผีเสื้อสาวในวันนี้ไม่มีความหวาดกลัวในตัวแมงมุมอีกต่อไปถึงแม้ว่าเขาจะมีเสียงต่ำและรูปร่าง-หน้าตาน่ากลัวก็ตาม


เช้าของอีกวันผีเสื้อและแมงมุมยืนอยู่บนชั้นวางของ ผีเสื้อสาวเชื่อว่าปีกของเธอหายดีแล้ว วันนี้เธอจึงจะทดลองบิน ----- แมงมุมคิดตรงกับผีเสื้อ แต่เขาไม่อยากให้เธอบินได้อย่างเคยเลยแม้แต่น้อย


ผีเสื้อยืนริมชั้นวางของ เบื้องล่างเป็นพื้นไม้ถลอกปอกเปิก เธอก้าวออกจากชั้นและสะบัดปีกคู่ที่เคยฉีกขาด พลันผีเสื้อสาวก็โบยบินขึ้นสู่เพดานห้องฉวัดเฉวียนไปมาได้อย่างอิสรเสรีเช่นเดิม เธอดูจะดีใจมากที่ได้รับอิสรภาพคืนดังเดิมเสียที


แมงมุมมองดูผีเสื้อสาวบินไปมา เขารู้สึกดีใจที่เธอสามารถบินได้อีกครั้งหนึ่ง เพราะหากว่าผีเสื้อมีปีกแล้วบินไม่ได้ก็คงจะไม่มีความสุขตลอดกาล แต่อีกมิติหนึ่ง ใจของเขากลับรู้สึกเสียใจที่รู้ดีว่าเมื่อผีเสื้อหายดีเมื่อไหร่ เธอจะต้องกลับไปสู่โลกนอกหน้าต่างอีกครา


เธอบินโฉบมายืนข้างเขาแล้วกล่าวขอบคุณในทุกสิ่งที่เขาทำให้เธอมาโดยตลอด และบอกว่าเธอซาบซึ้งใจแค่ไหนที่ได้รู้จักกับเขา แถวหอมแก้มเขาฟอดใหญ่ซะผมเขินแทน เธอสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมเขาบ่อยๆ ก่อนที่จะบินลอดหน้าต่างกรอบสีน้ำเงินออกไปเผชิญหน้ากับแสงแดดอุ่น และบินลับไปจนสุดสายตาของเขา


นอกหน้าต่างนั้นมีธรรมชาติที่สดใส ต้นไม้ใบหญ้าพลิ้วไหวลมเย็น เสียงสายน้ำใสฟังคล้ายเสียงสวรรค์ บรรดานกนานาพันธุ์ช่วยกันขับขานร้องเพลงอย่างพร้อมเพรียง ฟังดูมั่วซั่วแต่เป็นทำนองที่ไม่สามารถหาแคนโต้หรือโคลงกลอนบทไหนเทียบได้ ผีเสื้อสาวบินกลับสู่บ้านของเธอที่อยู่ในธรรมชาติเหล่านั้น


แมงมุมยืนอยู่บนชั้นวางของนิ่ง ขณะนี้แม้แต่ขาสักหนึ่งในแปดข้างของเขาดูเหมือนจะขยับอย่างยากเย็น ไร้เรี่ยวแรงแม้จะเดินเพียงก้าว แมงมุมไม่ได้รับอาหารมานานหลายอาทิตย์ แม้แต่น้ำก็ยังทานไม่ได้เพราะช่องปากที่แห้งผาก ความผิดปกติหลังจากที่ออกไปเจอกับอากาศหนาวนอกห้องหน้าต่างเริ่มแสดงตัว

เขายังคงนั่งนิ่งอยู่ที่ชั้นวางของแห่งเดิม ทอดสายตาไปยังนอกหน้าต่างกรอบสีน้ำเงิน แมลงมากมายบินผ่านไปมา ลอดเข้ามาในห้องแห่งนี้และบินจากไป แต่วันเวลาผ่านไปกี่วันกี่คืน เขาก็ยังไม่เห็นผีเสื้อบินลอดผ่านหน้าต่างบานนี้เข้ามาเลยสักตัวเดียว ------ ผมเองก็เหมือนกัน

แมงมุมยังคงยืนอยู่กับที่ไม่ไปไหน จนกระทั่งวันสุดท้ายที่เขาร่วงหล่นสู่พื้นห้องที่ถลอกปอกเปิก ------ในวันนั้นก็ยังคงไม่มีผีเสื้อตัวไหนบินผ่านเข้ามาในห้องนี้

อากาศวันนี้ค่อนข้างหนาว แต่ยังคงมีแสงแดดสาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในตัวห้องได้ ผมนั่งอยู่กลางแดดในห้องแห่งนี้ ข้างผมเป็นร่างเล็กๆ ของแมงมุมตัวหนึ่งที่ผมเรียกเขาว่า เพื่อนร่วมห้อง

ผมนั่งอยู่กลางแดดร้อน ที่ห้อมล้อมไปด้วยอากาศที่หนาวเหน็บ แต่ ...


ผมไม่รู้สึกว่าร้อน

ผมไม่รู้สึกว่าหนาว

.......

เพื่อนร่วมห้องของผม ก็คงเหมือนกัน


นอกเรื่อง : เพื่อนร่วมห้อง เวอร์ชั่นแรกเขียนเมื่อปีที่แล้ว ลงไว้ที่ myspace ของ MSN แต่เกิดอาเพส(เขียนถูกไหมหว่า)ภัย ดันลบบล็อก และก็ฟอร์แมท Backup ไปจนหมดเกลี้ยง (เกือบ 200 ไดอารี่+บทความ) ใจแทบสลาย-----แค่จะบอกว่า นี่เป็นเวอร์ชั่นสอง เท่านั้นแหละ - - แต่ผมชอบเวอร์ชั่นแรกมากกว่าแหะ

คิด(ส์)

14.33 น.

ผมนั่งอยู่บนโซฟาสีน้ำเงินเข้มในบ้าน พลางมองออกไปนอกหน้าต่างที่อยู่ใกล้จมูกไม่ถึงหนึ่งเมตร
มือของผมขยับช้อนวนไปมาในถ้วยชาที่มีโอวัลตินร้อนรินอยู่เต็ม ไอร้อนที่ออกมาจากถ้วยทำสันมือของผมร้อนไม่ใช่เล่น

ผมเหม่อมองออกไปยังบ้านฝั่งตรงข้ามที่เรียงรายอยู่เป็นทิวแถว
ที่บ้านฝั่งตรงข้าม ประตูสีชมพู รั้วสีขาว สนามหญ้าเขียวขจี ดูสวยสะอาดตา อยากจะมีบ้านอย่างนี้บ้าง---ผมคิดในใจ

เพล้ง !!!
กระจกบ้านหลังสวยที่ผมหวังว่าอยากจะครอบครองแตกออก พร้อมเสียงโฮของหญิงสาวเจ้าของบ้านที่ผมคุ้นเคย ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของเด็กสองคน---ที่ผมคุ้นเคยเช่นเดียวกัน

เจ้าเด็กสองคนนั้นวิ่งออกมาจากบ้านประตูสีชมพูรั้วสีขาว และวิ่งไปยังบ้านต่อไป

เพล้ง !! ปัง !!! ตูม !
ทั้งสองเที่ยวเล่นพังข้าวของอย่างสนุกสนานด้วยเสียงหัวเราะร่าเริง

บรรดาผู้เคราะห์ร้ายที่ประสบกับความวุ่นวายของเจ้าเด็กน้อยทั้งสอง หลายคนเจ็บตัว ได้แผล-เสียเลือด บางคนโชคดีหน่อยก็แค่ฟกช้ำ และทรัพย์สินเสียหาย แต่กับบางคนที่ไม่ได้เสียแค่นั้น ภัยร้ายของเจ้าเด็กทั้งสองบางครั้งทำลายชีวิตชาวบ้านบางคน

ผมเคยเห็นตำรวจ นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา และหลากหลายอาชีพ เดินผ่านหน้าบ้านผมไปยังที่ๆ เด็กสองคนนั้นอยู่ หวังจะปราบให้อยู่หมัด แต่ไม่นานนักก็โดนทั้งคู่ไล่รังแกกลับมาทุกคน ไม่เคยเห็นใครสยบเจ้าพวกนั้นได้

เท่าที่ผมจำความได้ ไอ้เด็ก(เปรต)สองคนนี้ไล่รังแกคนแถวนี้มานาน ตั้งแต่ตอนที่ผมมานั่งมองเหตุการณ์หน้าบ้านผ่านหน้าต่างบานนี้ ย้อนกลับไปซัก 7-8 ปี ตอนนั้นเกเรยังไง-ตอนนี้ก็ยังคงเป็นยังงั้นไม่เปลี่ยนแปลง จำได้ลางๆ ว่าพวกนั้นเคยเข้ามาที่บ้านผมบ้างเหมือนกัน แต่ผมยังเด็กเหลือเกิน เกินที่จะเปิดประตูต้อนรับได้ ตอนนั้นพวกเขาก็นิสัยดีนะเหมือนกันนะ ที่ไม่ได้พังบ้านเข้ามา แต่กลับไปพังอีกบ้านนึงแทน----แต่ก็ไม่แปลก

มีบางบ้านไม่กลัวพวกมัน เมื่อมันวิ่งเข้าบ้านไปเจ้าของบ้านก็ปล่อยให้มันเล่นซน ไม่นานเจ้าเด็กสองคนนั้นก็เดินออกมา ด้วยท่าทีร่าเริงเหมือนเดิม ----- บางบ้าน แค่เห็นหน้าพวกมัน ก็ก้มลงกราบกรานขับไล่ แต่มันทั้งคู่ก็เดินข้ามหัวที่กราบนั่นแหละ เข้าไปพังข้าวของซะพังยับเยิน

เด็กสองคนนี้สนุกสนานกับการทำลายและรักการก่อกวนเป็นชีวิตจิตใจ

ผมนั่งมองทั้งคู่จนวิ่งไปสุดลับตา ไปยังบ้านที่ผมมองไม่เห็น ผมซดโอวัลตินที่เย็นชืดจนหมดถ้วย วินาทีเดียวกันโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
----- ปลายสายต้องการจะสนทนากับผม ...

เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังจากการสนทนาเงียบๆระหว่างผมและคนปลายสาย
ผมวางหูโทรศัพท์ลงช้าๆ พร้อมกับถอนหายใจอย่างเนือยๆ คิดทบทวนไปกับบทสนทนาเมื่อครู่

ปังๆๆๆๆ !!!
เสียงเคาะประตูหน้าบ้านของผม ... ฟังดูไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย ใครที่ไหนเขาเคาะประตูกัน ปังๆๆๆๆ แบบนี้ ------ ผมนึกในใจขณะที่รีบเดินไปเปิดประตูบ้านต้อนรับแขกผู้ซึ่งเป็นเจ้าของเสียงเคาะประตูจังหวะแปลกๆ

ประตูอ้าออก พร้อมสายตาของผมที่มองไปยังนอกบานประตู

เด็กสองคนที่เพิ่งจะเดินผ่านหน้าบ้านไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ตอนนี้มาเคาะประตูบ้านผม

ผมยืนนิ่งมองหน้าเจ้าเด็กสองคนนั้นให้ชัด ----- ไม่เห็นจะต่างอะไรกับคนทั่วไป

"เชิญ" ผมเป็นคนเปิดการสนนทนาและกล่าวต้อนรับก่อน
ทั้งคู่มองหน้ากัน และแสยะยิ้ม ก่อนที่จะกระโดดผ่านประตูเข้ามาในตัวบ้าน
"แต่ผมต้องบอกก่อนะ ผมรู้ว่าพวกคุณจะทำอะไรกับบ้านผมบ้าง" ผมพูดน้ำเสียงราบเรียบและเดินไปยังโซฟาตัวโปรด
เด็กทั้งสองเริ่มปฏิบัติการทำลายข้าวของในบ้านผม คนนึงยกแจกันแสนสวยของผมที่ซื้อมาจากต่างประเทศขึ้นเหนือหัว พร้อมโยนลงพื้นลายปาร์เก้ สายตาของผมจับอยู่ที่แจกันใบนั้น
เพล้ง !!! ------ ผมได้ยินเสียงนั้นชัดเต็มสองหู

พลันหันไปมองเด็กอีกคนหนึ่งที่กำลังคว้าไม้กวาดฟาดไปที่รูปถ่ายครอบครัวเมื่อสมัยผมเด็กๆ กรอบรูปเหล่านั้นกระเด็นลอยติดตามไว้กวาดนั่น ทั้งคู่วิ่งไปที่ตู้เย็น แอ๊ปเปิ้ลที่ผมชอบกินกำลังสุกได้ที่ ----- ผมคิดว่ามันคงจะหวานน่าดู ------ แอ๊ปเปิ้ลลูกนั้นลอยผ่านปลายหูผมไปเพียงไม่กี่นิ้วก่อนจะทะลุกระจกหน้าต่างด้านหลัง

ผมเอนตัวนอนบนโซฟาดูเจ้าเด็กสองคนนั้นทำลายข้าวของเครื่องใช้ที่ผมเก็บถนอมมานานนับปี บางชิ้นก็ 7-8 ปี การ์ดดราก้อนบอลที่สะสมมาตั้งแต่ขนม โอ เดง ย่า ขายซองละ 5 บาท พวกมันเอามาฉีกซะเรียบ นาฬิกาที่พ่อของผมซื้อให้เป็นรางวัลตอนทำเกรดเฉลี่ยได้ 4.00 ตอนนี้หน้าปัดแตกละเอียดกระจายอยู่เต็มตามพื้นบ้าน ตู้เสื้อผ้าของผมล้มระเนระนาด เสื้อทีมบาสโรงเรียนและเหรียญรางวัลการแข่งขันที่ผมภูมิใจ ขณะนี้ขาดวิ่นและบิดเบี้ยวไปจนจำสภาพแทบไม่ได้

นาฬิกา ----- 16.38 น. เวลาตอนนี้ผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้วที่เจ้าเด็กสองคนนี้เข้ามาทำลายข้าวของในบ้านของผม

"เอ้า ออกไปได้แล้วล่ะ" ผมพูดพร้อมกับเดินเข้าไปลูบหัวเจ้าเด็กคนหนึ่งที่กำลังเอาไม้เบสบอลทุบโทรทัศน์อย่างเมามันส์
เด็กคนนั้นหยุด แล้วมองหน้าผม
"เดี๋ยวผมจะต้องออกไปข้างนอกน่ะ อีกอย่าง... มันหนวกหู"
เด็กคนเดิม ยังจ้องมองหน้าผมไม่ละสายตา ส่วนเด็กอีกคนนึงพอได้ยินว่าเพื่อนหยุดทำลาย จึงหยุดตามและเดินมามองหน้าผมเช่นกัน
ผมยิ้มมุมปาก พร้อมทั้งจูงเด็กทั้งสองเดินไปที่ประตู ทั้งคู่เดินตามมาอย่างว่าง่าย

"แล้วพบกันใหม่" นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ผมพูดกับทั้งสอง ก่อนที่เขาจะวิ่งเข้าไปถล่มบ้านประตูสีชมพู รั้วสีขาว หลังเดิม

ผมปิดประตูเดินเข้ามาในบ้าน มองไปที่นาฬิกา ---- 16.45 น. ----- ยังพอมีเวลาเหลืออยู่
รายการโปรดของผมเพิ่งจะเริ่มฉายไป 10 นาที ผมเกือบลืมเสียสนิท และไม่รอช้ารีบคว้ารีโมทเปิดโทรทัศน์ ขณะเดินไปเตรียมของเพื่อที่จะออกไปทำธุระ ผมเดินผ่านรูปภาพครอบครัวที่อยู่ในกรอบไม้ ผ่านแจกันที่ผมซื้อมาตอนไปเที่ยวเมืองจีนกับคุณย่า ผ่านประตูกระจกบานใหญ่ที่มีของตกแต่งบ้านอยู่มากมาย ผมเปิดประตูตู้เสื้อผ้าที่ตั้งอยู่ริมห้องออก นำเสื้อทีมบาสของโรงเรียนยัดใส่กระเป๋า เปิดลิ้นชักเอากระเป๋าสตางค์ พร้อมทั้งหยิบกุญแจบ้านที่ถูกการ์ดดราก้อนบอลทับอยู่ แอ๊ปเปิ้ลที่ผมหยิบมาจากตู้เย็นนั้นหวานอย่างที่ผมคิดจริงๆ ซะด้วย

17.00 น. บนนาฬิกาข้อมือที่พ่อผมซื้อให้บอกว่ายังงั้น ---- ถึงเวลานัด ---- ผมยังไม่อยากลุกจากโทรทัศน์นี่ไปเลย รายการวันนี้น่าสนใจและสนุกจริงๆ แต่ก็ต้องจำใจอย่างช่วยไม่ได้ ผมปิดโทรทัศน์ ปิดหน้าต่าง และเตรียมตัวออกจากบ้าน

กริ้งงง !! เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
ผมเดินเข้าบ้านมารับสายพร้อมรองเท้าผ้าใบที่ใส่เรียบร้อย
ปลายสาย เป็นคนเดียวกับเมื่อสองชั่วโมงก่อน การสนทนาเป็นไปอย่างราบเรียบพร้อมกับน้ำตาของผม
ไม่นานนักก็จบการสนทนา และผมก็ออกเดินทางไปสู่ที่นัดหมาย

เพล้ง !!! กระจกใสบนหน้าต่างบานโปรด ที่ผมนั่งมองผ่านมันประจำแตกละเอียด
ผมมองภาพนั้นอย่างนิ่งเงียบ
ผมเริ่มออกเดินทางไปสู่ที่นัดหมายต่อ พร้อมทั้งนึกในใจเกี่ยวกับชื่อของเด็กทั้งสองนั่น ขณะเดียวกันกับที่ผมเดินผ่านบ้านประตูสีชมพู รั้วสีขาว ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งร้องไห้ท่ามกลางเสียงโครมครามที่มาจากตัวบ้าน ข้าวของแตกกระจาย --- แน่นอนว่าเป็นฝีมือของเจ้าเด็กสองคนนั้น ตอนนี้มันอยู่ในบ้านนั้น บ้านประตูสีชมพู รั้วสีขาว ------ บ้านของอดีตคนรักของผม คนที่เพิ่งเป็นคนปลายสายของผมเมื่อซักครู่

ผมเดินผ่านบ้านนั้นไปช้าๆ
ในที่สุดผมก็คิดออก ว่าเจ้าเด็กสองคนนั้นมันชื่อ

" ความทุกข์ กับ ความสุข" นี่เอง

นาฬิกาข้อมือที่พ่อผมซื้อให้ตอนนี้ชี้เวลาที่ 17.17 น. ไฟถนนกระพริบและเริ่มฉายแสงสว่าง
----- พระอาทิตย์หน้าหนาวช่างลับขอบฟ้ารวดเร็วเสียจริง

17.23 น.

ผมเดินข้ามถนน และหายไปจากโลกของเด็กสองคนนี้อย่างถาวร

----- บ้านของพ่อและแม่ผม รวมถึงบ้านประตู้สีชมพู โดนเด็กสองคนนั้นทำลายซะไม่เหลือชิ้นดี
----- รวมถึงแจกันของผมด้วย



นอกเรื่อง : เอาเรื่องที่เคยเขียนเก่าๆ มาลงไว้ที่นี่มั่ง ไม่ต้องงงว่าทำไมวันนึงมันอัพขึ้นมาเยอะจังวะ งานเก่าเล่าใหม่ครับท่าน! เรื่องนี้เขียนเมื่อโคตรหลายเดือนก่อน จำวันไม่ได้-----บอกแค่นี้ล่ะครับ จบ!

อดีตเป็นบทเรียน(ล่ะมั๊ง)

ผมคิดมาตลอดว่า คนเรามีอดีตไว้เป็นบทเรียน

แต่เมื่อมองจากประสบการณ์ อดีตไม่ใช่บทเรียน แต่เป็นบทละครซ้ำๆ ที่ทำให้เรารู้แนวว่า มันจะเป็นอย่างไรต่อไป และแน่นอนว่ามันทำให้เราเศร้า สุข ทุกข์ตรม ได้ตลอดเวลาตามบทละครที่เกิดขึ้น

คำว่าบทเรียน ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เคยทำร้ายมาก่อนในความคิดผม โดยเฉพาะคำว่า "เรียน" ไม่น่าจะเป็นคำที่โหดร้ายขนาดนำมารวมกับคำว่าประสบการณ์ที่เคยผ่านมาได้ .. ครับ มันหมายความว่า ประสบการณ์ที่ผ่านมาของเราทุกคนที่ดูแล้วว่ามันพอจะเป็นบทเรียนได้ ส่วนมากจะเป็นเรื่องที่เคยทำร้ายจิตใจของเรามาก่อนแทบทั้งสิ้น

ไม่รู้ว่าบางคนที่เขาพอใจกับอดีตได้ เขามีกระบวนการคิดอย่างไร แต่สำหรับผมแล้วการลืมอดีตเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ความจริงที่คนเราสามารถอยู่กับมันได้ คือการไม่คิดถึงมันและมอบความเป็นจริงของความรู้สึกให้หลับใหลไปท่ามกลางความจริงที่แสนโหดร้าย

ผมเป็นคนหนึ่งที่อยากจะหนีมันให้ไกลสุดขอบฟ้า ไม่อยากจะพบกับมันแม้ซักวินาที เพราะอะไรน่ะเหรอครับ ? เพราะอดีตสอนให้ผมรู้ว่าอย่าคิดถึงอดีต

ผมตกหลุมพรางตัวเองซะแล้ว, อดีตมันเป็นบทเรียนจริงๆ น่ะแหละครับ

ชื่อเรื่อง... อะไรหว่า?

สองสามวันที่ผ่านมา, คิดได้ว่ามีเรื่องหลายเรื่องที่อยากอัพลงบล็อก อยากบ่นโน่นนี่ ไม่ต่ำกว่าห้าเรื่อง... ชุ่ยเองที่ไม่ได้จดไว้
ผมรู้สึกเซ็งอยู่หลายทีที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ที่คิดเรื่องดีๆ ได้ แล้วก็ลืม.. คงจะอารมณ์เดียวกับมือกีต้าร์ที่คิด lick ดีดี ได้แล้วก็ลืม
ไหนๆ ก็ไหนๆ เมื่อมันนึกได้อย่างเดียวว่าลืม ก็อัพเรื่องลืมแม่งไปเลยแล้วกัน...

น่าแปลกอยู่อย่างในเรื่องของการลืม ... อย่างที่เรารู้กัน คนเรามักไม่ลืมในเรื่องที่อยากลืม และก็มักจะจำในเรื่องที่อยากลืม

ดีหรือ? หรือดี?

ถ้าโลกนี้ไม่มีคำว่า 'ลืม' ผมว่ามนุษย์จะเปลืองน้ำตากว่านี้มากในทุกเรื่อง เพราะจะไม่มีทางลืมได้แม้วินาทีว่าความรักที่เคยมีตลอดมาระหว่างพ่อ แม่ คนรักที่เคยมี หรือสัตว์เลี้ยง ซึ่งขณะนี้เขาได้จากไปแล้วเป็นอย่างไร หรือจะไม่ลืมได้เลยว่าอารมณ์โกรธที่เรามีขณะที่พบว่า คนรักไปมีชู้, ฆาตกรฆ่าพ่อ-แม่, อาจารย์ที่ให้เอฟในวิชาเอก หรืออะไรก็ตามที่ทำให้เราตกอยู่ในภวังค์แห่งอารมณ์ คนเราจะต้องเกรี้ยวกราดมากกว่านี้เพราะจะไม่ลืมช่วงเวลาที่เกิดการโลภ-กิเลศ-อารมณ์ทางเพศได้ สังคมจะวุ่นวายมากกว่านี้อีกหลายเท่า มนุษย์จะต้องระแวงกันมากกว่านี้จนไม่เหลือความไว้เนื้อเชื่อใจ เพราะมัวแต่ระวังการพูดความลับระหว่างกันจนไม่ต้องการให้ใครอยู่รอบข้าง และอาจมีการฆ่าปิดปากกันมากขึ้นในกรณีเดียวกัน

แต่ ถ้าโลกนี้ไม่มีคำว่า "ไม่ลืม"
ผมก็คงไม่ได้มาเขียนบล็อกให้ใครอ่าน หรือ อ่านเอง มนุษย์ก็จะไม่มีการพัฒนาตัวเองได้มาตั้งแต่ต้นบนโลกนี้ จะไม่มีคำว่า 'มนุษย์' เพราะเขาลืมว่าเขาเพิ่งเรียกตัวเองว่าอะไร คิดอะไรออกก็ลืมหมด

ผมเชียร์โลกอย่างหลัง ผมเห็นทีว่าโลกนี้มันมีเรื่องที่คุ้มค่าในการลืมมากกว่าเรื่องที่อยากจำ

จะเขียนอะไรต่อ ลืมแร๊ะครับ :-(
ขอตัว

Thursday, March 22, 2007

The Mask ! หน้ากากธรรมดา

หน้ากากที่ดีควรเป็นแบบไหนครับ?? คลุมทั้งหน้า, คาดแค่ตา, หรือ 2/4 หน้า, 3/4 หน้า
ผมเดาไม่ค่อยถูกว่า สังคมมนุษย์ที่ใครต่อใครว่าจำเป็นต้องใส่หน้ากาก ความ'พอดี'ของหน้ากากที่ว่า ควรอยู่ตรงไหนกันแน่? หรือมันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ครับ? ต่อหน้าเพื่อนควรใส่แบบหนึ่ง ต่อหน้ากล้อง-เครื่องอัดเทปอีกแบบหนึ่ง ย้ายไปสลับมาตลอดเวลา..

ถ้าอย่างนั้นผมพอจะเข้าใจได้.. มันเป็นมารยาทของสังคม, ถ้ามีใครเชิญเราไปงานแฟนซีลิเกไทย ใส่ชุดฟุตบอลบราซิลไปคงจะแก่ว ดังนั้นคนเราควรจะใส่หน้ากากระหว่างกันอย่างถูกกาลเทศะ! แต่มันแย่ตรงที่ว่า ถ้าเกิดฟลุ๊ก ไปเจอคนเดียวกันที่เคยเจอกันที่งานอื่นเล่า เราจะทำกันอย่างไร เพราะคำว่า 'หน้ากาก' บนโลกจริงมันช่างดูแล้วเป็นสิ่งเน่าเฟะ น่ารังเกียจปานนั้น (ทั้งที่มีกันทุกคน) บางคนหนักกว่า 'หน้ากาก' ก็ใส่คอสตูมนางฟ้า-เทวดามาอวดโฉมกันมาเลย

ถามจริงๆ, เสียเวลาไหมครับ ถ้ามีบางคนเห็นหางของคุณผ่านลอดรูตาบนหน้ากากของเขา?

ผมไม่นิยมใส่หน้ากาก แต่ความนิยมไม่สามารถกำหนดความสมควรได้ สิ่งที่เพลิดเพลินที่สุดสำหรับผมคือการขอเพื่อนดูหน้ากาก หรือสังเกตหน้ากากของมันเอง บางทีก็เอาหน้ากากของตัวเองมาพลิกขวาหันซ้ายสำรวจดูบ้างเป็นครั้งคราว-----สนุกนะครับ ลองทำกันดู

ถึงบรรทัดนี้ ผมไม่ได้ต้องการมาประนามของคนที่รักการใส่หน้ากากเป็นชีวิตจิตใจและหลงไปว่ามันคือใบหน้าที่แท้จริงของตัวเอง
สิ่งที่ผมจะบอกมีสองอย่างครับ

1. หน้ากากที่คุณทุกคนใส่ มันไม่ได้สวยกว่าใบหน้าที่แท้จริงเลยสักนิด
2. แต่ถ้าใส่แล้ว, ก็โกหกให้มันเนียนหน่อยครับ

ผมสนับสนุน


Monday, March 19, 2007

ศูนย์วิจัยมนุษย์ ณ รพ.สวรรค์

วันนี้อยู่ๆ ก็คิดถึงคำว่า 'พรสวรรค์' ขึ้นมา...
เขาว่ากันว่าถ้าใครได้ครอบครองสิ่งนี้เป็นคนโชคดีครับ, มีพรสวรรค์ด้านไหนก็ทำอะไรก็ตามที่มีพรนั้นเกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดีกว่าคนอื่น
แต่น่าน้อยใจแทนพรสวรรค์ ที่มักถูกนำไปมีคุณค่าน้อยกว่าอีกคำที่คล้ายกันคือ 'พรแสวง' ที่ผู้ใหญ่ชอบนำมาสอนเด็กๆ อย่างเราว่า "พรแสวงเป็นสิ่งที่สำคัญกว่านัก เพราะเป็นสิ่งที่เราไขว่คว้ามาเอง" จึงทำให้พรแสวงดูมีคุณค่า และพรสวรรค์ดูกลายเป็นเหมือนของฟรีไม่มี value ทันที-----ประมาณว่า "เออ! ก็แม่งพ่อแม่รวยนี่!" (ซึ่งโดยมากจะอยู่ในสายตาของผู้ไม่มีพรสวรรค์)

พรสวรรค์สำหรับคนอื่นเป็นเหมือนสิ่งที่ต้องฟลุ๊คเท่านั้นถึงจะได้ครอบครอง, ฟลุ๊คเหมือนถูกหวยโดยไม่ได้ซื้อหวยสักเลข
แต่สำหรับผม(และใครอีกหลายคน) 'พร' ที่ 'สวรรค์' ให้มาคือการเกิดมาแล้วให้เรารู้จัก 'แสวง' มากกว่าที่จะได้อะไรมาโดยไม่พยายามเลยสักแอะ นักกีฬา-นักวิทยาศาสตร์บนโลกที่ได้รับขนานนามว่าเป็น 'อัจฉริยะ' มีใครที่ดูแล้วว่าใช้พรสวรรค์ในการไต่เต้าขึ้นมาสู่ระดับโลก
บ้างครับ และมีใครบ้างที่บอกว่าตัวเองมีพรสวรรค์บ้าง ลองส่งอีเมลมาบอกผมสัก 2-3 คน

ผมไม่ได้มีอคติกับคำว่า 'พรสวรรค์' ซ้ำยังชอบคำสองคำที่นำมาผูกกันอย่างน่ารักนี้อีกด้วย แต่ผมคิดว่ามันจะบั่นทรความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์บางคนที่เชื่อว่ามันมีจริง เพราะเขาจะคิดว่า หากเขาไม่มีพรสวรรค์อย่างคนนั้นคนนี้ ก็ไม่มีวันจะยิ่งใหญ่อย่างคนที่เขาหมายถึงนั่นได้ หรือคนที่มี'พรสวรรค์'จริง หากทะนงตัวไปทำตามแค่ที่สวรรค์มอบให้ เมื่อไหร่โลกมนุษย์จะพัฒนาอยู่เหนือสวรรค์ได้ครับ-----โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตัวมนุษย์ที่จ้องจะเอาชนะธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา

แต่มนุษย์เก่งครับ ที่พัฒนาตัวเองจนจะเอาชนะสวรรค์ได้อยู่แล้ว

เคยคิดกันไหมครับว่า 'พรสวรรค์' อีกไม่นานจะอยู่ในเงื้อมมือมนุษย์, วิวัฒนาการการตัดต่อDNA, ประกอบยีนส์ สารพัดที่มนุษย์กำลังค้นคว้าและเดินหน้าด้วยกำลังเงินมหาศาลที่แอบหมุนเวียนกันอย่างลับบ้างไม่ลับบ้าง ด้วยวิทยาศาสตร์เราจะสามารถชนะ พระเจ้าที่อยู่บนสวรรค์ในอีกไม่ช้าครับ-----ดูได้จากก้าวแรกในการโคลนนิ่ง, GMOs, การศัลยกรรม, นาโนเทคโนโลยี, คอมพิวเตอร์ และอีกหลายอย่างที่ผมยังไม่รู้ และคนทั้งโลกก็'ยัง'ไม่ได้รับการรับรู้ อีกไม่นานเราอาจได้เห็นมนุษย์มีปีก หมาขายาวอย่างยีราฟ สิงโตตัวเท่าหมาพุ๊ดเดิ้ล ดอกไม้ที่ไม่มีวันเหี่ยว คนที่ไม่เคยหิว เด็กที่ไม่มีทางโต มนุษย์ที่ไม่มีวันตาย หรืออะไรก็ตามที่คนจะจิตนาการได้

ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่หรอกครับ เพราะมันไม่(น่าจะ)อยู่ในยุคของผมหรือคุณ-----หรือถ้าอยู่ก็ค่อยว่ากันครับ

ผมกล้าพูดว่า 'พรสวรรค์' ของเหล่ามนุษย์ที่พระเจ้าประทานให้ กำลังจะทำลายตัวมนุษย์เอง, เมื่อไม่นานมานี้ ผมเพิ่งจะเห็นเด็กอัจฉริยะที่เขาว่ากันว่าเกิดมาพร้อม 'พรสวรรค์' เขาสามารถเรียนรู้คอมพิวเตอร์ตั้งแต่ยังไม่ถึง 3 ขวบ และสร้างวีรกรรมที่ทำให้นักคอมพิวเตอร์ต้องทึ่งเมื่อเทียบกับวัยของเขา สังเกตดูดีดี ยิ่งนับปีเราก็ยิ่งเห็นเด็กที่มีลักษณะแบบนี้เยอะขึ้นทุกวัน-----ผมตื่นเต้นดีใจปนไปกับความกลัว

ผมว่าคนบนสวรรค์คงเบื่อพวกเราเต็มทีแล้วล่ะครับ

นอกเรื่อง : บล็อกวันนี้ใครอ่านแล้วจับใจความได้, เก่งครับ เพราะผมอ่านเองยังเบลอเลย ไว้จะมาแก้ให้อ่านกันง่ายๆ-----ขอบ่นหน่อย, มีอาจารย์คนนึงเคยชมผมต่อหน้าเพื่อนทั้งห้องว่า "งานเขียนของณัฐชนนเขาดีนะ แต่ครูยังไม่เอามาให้อ่านกัน เพราะว่าอ่านยาก" ใจผมน่ะคิดไปแล้ว ว่างานกุเริ่มเข้าขั้นนามธรรมเข้าถึงยากกับเขาบ้าง หลงดีใจ แต่ยังไม่ใช่ครับ เพราะอาจารย์เขาพูดต่อว่า "เพราะลายมือมันห่วย", !!!!!!!

Sunday, March 18, 2007

a WAY

กระดูกคนละเบอร์

เท่าที่ผมรู้, มนุษย์เริ่มเดินเข้าถ้ำเป็นครั้งแรกเมื่อหมื่นปีก่อน เราเริ่มสร้างที่อยู่อาศัยที่จะปกป้องร่างบางๆ ที่อ่อนแอของเราจากที่นั่น กองไฟกองแรกที่เกิดจากสัตว์โลก, อาวุธที่เหนือธรรมชาติ, ห้วงความคิด-ความรู้สึกโลภ โกรธ รัก ได้อุบัติขึ้นในถ้ำแห่งนั้น, ภาษาที่ย่อเวลาให้มนุษย์เข้าถึงกันและกัน, ประเทศ เมือง วัฒนธรรม ประเพณี เงิน กีฬา สภา ... และอะไรทั้งหลายแหล่เกิดขึ้นหลังจากวันที่มนุษย์เดินเข้าถ้ำมืดๆ นั่นเข้าไป

เป็นช่วงเวลาของมนุษย์ ที่มนุษย์ต่างสรรเสริญว่าเป็นความเจริญอันสูงสุดของโลก

แต่ถ้า...
เราเทียบโลกนี้เป็นหนังสือที่มีกระดาษ 519 หน้า เหมือนอย่างที่หนังสือชื่อดัง 'Davinci's Code' มี
ทุกหน้ามี 32 บรรทัด, แต่ละบรรทัดมี 60 ตัวอักษร
รู้ไหมครับว่า.. ตัวอักษรที่เป็นช่วงระยะเวลาของพวกเรา
ยังเรียงเป็นคำว่า 'DOG' บนหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เลยครับ

ดังนั้น พวกเราเจียมตัวไว้เถอะครับ,

ด้วยความหวังดี

Saturday, March 17, 2007

Friendship Beyond Frontier

เคยได้ยินประโยคข้างบนเป็นคำขวัญของกีฬาระดับโลกครั้งไหนสักครั้ง ผมจำไม่ค่อยได้
ฟังแล้วคิดถึงเพื่อนครับ,

เพื่อนของผมมีเป็นกะบุง นิสัยดีบ้าง เลวบ้าง (ดี-เลวเท่าที่ผมพอจะเรียกได้ ของคนอื่นผมไม่รู้)
บางคนชอบกินเหล้า, บ้าหญิง, ขายเพื่อน, จูงจมูกเพื่อนไปทางด้านมืด, ชิ่งตังค์, ฯลฯ มากมายก่ายกอง.. อธิบายไม่หมด บางอย่างคนเดียวมีคุณสมบัติเดียว บางคนมีหลายคุณสมบัติในคนเดียว---แต่เพื่อนดีของผมก็มี ไม่ใช่ผมฟลุ๊กเจอแต่เพื่อนนิสัยไม่ค่อยจะดี

คำถามคือผมจะรู้จริงได้อย่างไรว่ามันเป็นคนเลว หรือ คนดี ผมใช้ตัวเองเป็นบรรทัดฐานเหรอ?, ครับ ผมไม่ปฏิเสธ ออกจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่เชื่อเถอะว่าทุกคนก็เป็นแบบนี้ ความสว่างจ้าของแสงแดด สำหรับคนที่เพิ่งออกจากห้างกับอีกคนที่เพิ่งออกจากถ้ำ มันต่างกัน

เคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่ง เขาเขียนว่า "จงหาเพื่อนที่เป็น'คอ'เดียวกัน" หมายความว่าให้หาเพื่อนที่ชอบอะไรคล้ายกัน คุยเรื่องคล้ายกัน ผมพยายามลองหาแล้วแต่มันก็ยังไม่ค่อยจะเจอ อาจเป็นเพราะคนแบบผมเข้าใจยาก บางครั้งผมเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเลย หากโลกนี้พระเจ้าสร้างให้คนมีหน้าตาที่แตกต่างกัน ไหนเลยท่านจะไม่สร้างให้มนุษย์มีนิสัยไม่เหมือนกัน ต่อให้คล้ายเท่าไหร่ก็ต้องมีส่วนต่าง อย่างที่ผมชอบคิดว่า คนเราเล็ก-ใหญ่ไม่เท่ากัน คำว่าเพื่อนที่เหมาะจะเป็นเพื่อนคงไม่มีจริง มีแต่ใจที่จะยอมรับว่าใครเป็นเพื่อน.. ให้เป็นนักโทษประหารฆ่าคน 425 ศพ ผมก็เชื่อว่าเขามีเพื่อน หรือพระเจ้าที่ว่าประเสริฐ ผมก็เชื่อว่าท่านสร้างเทวดาองค์อื่นๆ มาเพราะอยากให้มีใครอยู่ใกล้สายตาตัวเองบ้าง

เพื่อนที่ดีอาจจะเป็นคนที่เลวที่สุดในสังคม เพื่อนที่เลวที่สุดอาจจะเป็นคนที่ดูแล้วว่าคนทั้งหลายยอมรับว่าเขาดี
อยู่ที่ใจของเราจะตัดสิน ความโลภ โกรธ หลง มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน สิ่งเหล่านี้มันทำให้มุมมองของคนเปลี่ยนไปอย่างง่ายดาย
อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า, ดี เลว ไม่มีจริงหรอก มีแต่ใจเราเท่านั้นที่คิดไปเอง

คำว่าเพื่อน, ไม่ต้องมีคำว่า'พ้อง' ต่อหลังเสมอไปนี่น่า
ผมมีเพื่อนเป็นกะบุง เชื่อเถอะ

Blog's name

มว่าคงมีใครสักคนสงสัยชื่อ e-mail, blog ของผมบ้าง แต่ถ้าไม่มีใครสงสัยผมก็จะอธิบายให้ฟัง
(เรื่องของเรื่อง, ผมไม่มีอะไรจะอัพ---ใครจะทำไม?)

เอพลัส-ซัค, ผมว่ามันเป็นคำที่เข้าใจง่ายดีนะ? แต่ก็ยังมีคนมาถามเรื่อยว่า ทำไมต้อง aplus? หรือมันอ่านกันไปว่า
แอป-ลัส, แอป-ลุส, เอ-พี-ลุส, ก็คงสุดแล้วแต่ความฉลาดของแต่ละคน

แต่ aplus ของผมคือ a+ ที่หมายถึง A+ ซึ่งแทนเกรดการเรียน A ว่าฉลาดแล้ว A+ ก็ไม่ต้องพูดถึงมันต้องฉลาดมากแน่
ปัญหาส่วนใหญ่ของพวก A+ คือ หยิ่ง, คิดว่าตัวเองเก่ง, ต้องการเอาชนะคนที่เก่งเท่ากัน, ไม่เคยยอมแพ้คนที่พวกเขาคิดว่าอ่อนด๋อยกว่า, อ่อนไหวต่อความล้มเหลว, ผิดไม่ได้, ฯลฯ สารพัดจนผมอธิบายไม่หมด แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาที่เท่ากับ พวกที่โคตรฉลาดแล้วทำตัว'เหี้ย'

นิยามของคำว่า'เหี้ย' : เนรคุณพ่อ-แม่, ไร้ความกตัญญู, เห็นเงินเป็นพระเจ้า, ขายเพื่อน, ใช้อารมณ์เป็นหลักซึ่งทำคนอื่นเดือดร้อน---
เหล่านี้นี่คือ'เหี้ย'ของผม ของคนอื่นอาจจะมากกว่านี้มาก-มากที่สุด แต่แค่นี้ก็พอเพียงพอและควรค่าแก่การประนาม เป็นที่มาของ SCUK คำสลับของ SUCK ที่มันจริงๆ แปลถึงคำด่าอะไรก็ไม่รู้ล่ะ ผมก็ไม่สันทัดภาษาอังกฤษเท่าไหร่ แต่จำได้ว่ามัน Subtitle ของหนังมันก็แปลมาเทือกๆ คำด่ากันนั่นแหละ

ดังนั้น aplus_sxu = aplus suck = A+ suck = A+ Scuk! ด้วยประการฉะนี้แล

-จบ-

Ps. วันหลังผมจะหาเรื่องอัพให้มันสนุกกว่านี้นะ :-(